วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ห้ามทำ !! หากมีการตั้งครรภ์

เมื่อคุณมีการตั้งครรภ์ ห้ามทำสิ่งเหล่านี้ !!

การตั้งครรภ์


          ในขณะที่คุณสาวกำลังมีการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะการตั้งครรภ์ที่เป็นครรภ์แรก คุณอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับพฤติกรรมที่คนท้องไม่ควรทำ หรือข้อห้ามต่างๆที่คุณหมอเตือนว่าห้ามทำหรือหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ทำให้น้อยที่สุดเพื่อสุขภาพของคุณแม่และเจ้าตัวน้อย ซึ่งข้อห้ามที่จะกล่าวถึงนั้นมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มารองรับไม่ใช่คำบอกเล่าจานกันมาแต่อย่างใดนะคะคุณแม่

การตั้งครรภ์


1.ห้ามสามีนอกใจ
          รายงานทางการแพทย์พบว่า สามีนอกใจภรรยามากที่สุดในช่วงที่ภรรยามีการตั้งครรภ์ ไปเที่ยวหญิงบริการ มีเพศสัมพันธุ์กับผู้หญิงอื่นมากหน้าหลายตา การกระทำดังกล่าวอาจส่งผลต่อแม่และลูกเพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ เช่น เชื้อเอดส์ เชื้อหนองใน เชื้อเริม และโรคซิฟิลิส  ทุกเชื้อที่กล่าวมานั้นอาจส่งผลต่อสุขภาพของทารกอาจทำให้เกิดความพิการได้ การป้องกัน คุณแม่ที่มีการตั้งครรภ์อย่าละเลยในการให้ความสุขกับสามี เพราะตลอด 9 เดือน คุณแม่ตั้งครรภ์ที่แพทย์ไม่ได้จำกัดกิจกรรมทางเพศ คุณสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติในท่าทีไม่ผาดโผนจนเกินไป

2.ห้ามปีนป่ายที่สูงหรือยกของหนัก
           ในขณะที่คุณแม่ตั้งครรภ์ยกของที่มีน้ำหนักเยอะ แรงดันจะไปกดอยู่ที่มดลูก เพราะมดลูกเป็นจุดศุูนย์กลาง แรงดันขณะยกของเสี่ยงต่อการแท้งบุตรได้ การยกของหนัก – ปีนป่ายที่สูง หากเสียการทรงตัวทำให้อาจทำให้ล้มกระแทกได้

3. ห้ามใช้น้ำยาทำความสะอาดช่องคลอดหรือสวนล้างช่องล้างช่องคลอด
          ในระหว่างการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนที่มีการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลให้อวัยเพศมีกลิ่นมากขึ้น คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรจะสวนล้างช่องคลอด หรือใช้ผลิตภัณฑ์กำจัดกลิ่น เพราะจะเป็นการนำพาเชื้อโรคเข้าสู่ช่องคลอดโดยตรง โดยปกติแล้วบริเวณช่องคลอดจะมีเชื้อที่คอยดักจับเชื้อโรคไม่ให้ผ่านเข้าไปในช่องคลอด คนปกติจึงไม่เกิดการติดเชื้อได้ง่ายๆ แต่ถ้าเมื่อไหร่ มีการสวนล้างช่องคลอดหรือใช้น้ำยารุนแรง เชื้อที่เคยมีจะตายไป ทำให้เชื้อโรคต่างๆวิ่งเข้าสู่ช่องคลอด อาจะทำให้โพรงมดลูกเกิดการติดเชื้อทั้งแม่และลูกได้อย่างง่ายดาย

4.ห้ามใส่ชุดรัดแน่นพอดีตัวจนเกินไป
           คุณแม่ตั้งครรภ์ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมๆสบายๆ ระบายอากาศได้ดี เนื่องจากในระหว่างการตั้งครรภ์มีการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในร่างกายอย่างมากโดยเฉพาะฮอร์โมนเพศ ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์มีกลิ่นตัว รวมถึงกลิ่นอวัยะเพศที่แรงขึ้นด้วย การสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น ทำให้เกิดกลิ่นอับมากขึ้น และยังทำให้ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี หายใจไม่สะดวกอาจจะทำให้หน้ามืด หรือเป็นลมได้

5.ห้ามดื่มนมเยอะเกินวันละ 2 แก้ว
          คุณแม่หลายๆคนดื่มนมเพื่อบำรุงครรภ์ตั้งแต่รู้ว่าเริ่มตั้งครรภ์ในปริมาณมาก แต่ตามหลักโภชนาการแล้ว ควรเริ่มดื่มนมบำรุงครรภ์เมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่2ของการตั้งครรภ์ เพราะช่วงในเวลาดังกล่าวทารกจะสามารถดึงแคลเซี่ยมจากคุณแม่ไปใช้มากขึ้น อาจจะทำให้คุณแม่สูญเสียเเคลเซียมในร่างกายไปมากกว่าปกติ ดังนั้นการดื่มนมวัววันละ 1 แก้ว หรือนมถั่วเหลืองวันละ 2แก้วก็เพียงพอแล้ว หากคุณแม่ตั้งครรภ์ดื่มนมมากเกินความจำเป็นอาจส่งผลให้ทารกมีความเสี่ยงต่อการแพ้ได้ง่าย เช่น แพ้โปรตีนในนมวัว เป็นต้น

6.ใกล้คลอด ห้ามเดินทางไกล
          สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ไตรมาสสุดท้ายแล้ว โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีอายุครรภ์ 32 สัปดาห์ขึ้นไป ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไกล เพราะในช่วงเวลานี้จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือการคลอดก่อนกำหนดได้ง่ายๆ

7.ห้ามทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์
          อาหารไม่มีประโยชน์ในที่นี้ นอกจากจะทำลายสุขภาพของคุณแม่แล้ว ยังส่งผลไปถึงสมองของลูกน้อยด้วย ได้แก่ พวกแอลกอฮอล์ คาเฟอีน อาหารที่มีรสหวานจัด มันจัด เผ็ดจัด ดิบๆสุกๆ ของหมักดอง อาหารกระป๋อง และอาหารที่ใส่ผงชูรส

8.อย่าผิดนัดฝากครรภ์
          คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องให้ความสำคัญของการฝากครรภ์ เพราะร่างกายของคุณแม่และเจ้าตัวน้อยจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถ้าเกิดพบความผิดปกติของตัวคุณแม่หรือลูกน้อยในครรภ์ คุณหมอจะได้ให้การช่วยเหลือได้ทันเวลา  หากติดธุระพลาดนัด ก็ควรรีบไปพบคุณหมอในวันถัดไป

9.ห้ามเครียด
          ในขณะที่ร่างกายของคนเราเกิดภาวะความเครียด ฮอร์โมนคอร์ติโซลจะทำงาน ส่งผลให้ร่างกายของเราจะรู้สึกอยากทานอาหาร ทำให้คุณแม่ทานอาหารในปริมาณที่มากขึ้น เครียดมากก็กินมาก แล้วก็อ้วนมาก จะทำให้คุณแม่ที่ตั้งครรภ์น้ำหนักตัวพุ่งพรวดได้นะคะ และนอกจากนั้นแล้ว ยังพบว่า คุณแม่ที่มีภาวะความเครียดสูง เจ้าตัวน้อยก็สามารถรับรู้ได้เช่นกัน และเมื่อเจ้าตัวน้อยคลอดออกมาแล้วจะงอแงเลี้ยงยาก

10.อย่าออกกำลังกายผาดโผนหรือหักโหมเกินไป
          ในทุกๆช่วงของการตั้งครรภ์ คุณแม่ควรออกกำลังกายในลิมิตที่พอเหมาะ ในไตรมาสแรกนั้นถ้าหากคุณแม่ออกกำลังกายหักโหมและผาดโผนมากไปจะเกิดแรงสั่นสะเทือนสูง ส่งผลต่อตัวอ่อนในครรภ์ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการแท้งบุตรได้  สำหรับไตรมาสที่ 2  –  3  อย่าออกกำลังกายหักโหมเกินไป เพราะร่างกายจะแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนไม่ทัน จะทำให้เจ้าตัวน้อยในครรภ์เกิดภาวะขาดออกซิเจนได้เช่นกัน

11.อย่าใส่รองเท้าส้นสูง
           คุณแม่ที่มีการตั้งครรภ์มักจะมาพบคุณหมอ เนื่องจากอาการการปวดหลังอยู่เป็นจำนวนมาก และโดยส่วนใหญ่แล้ว คุณแม่คงนึกไม่ถึงว่า สาเหตุจะมาจากรองเท้า การที่คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์สวมรองเท้าส้นสูงจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณเอว หลัง ลงไปถึงช่วงน่องเกิดความตึงเตรียด และทำให้เกิดอาการปวดตามมานั่นเอง นอกจากนั้นยังพบอีกว่า รองเท้าส้นสูงจะทำให้จุดศูนย์ถ่วงของคุณแม่ที่มีการตั้งครรภ์เสียสมดุล ซึ่งอาจจะทำให้ลื่นล้มและแท้งบุตรได้

12.ห้ามกินยาบ่อย
          ข้อนี้สำคัญมาก โดยเฉพาะในการตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์แรก เพราะเป็นช่วงก่อร่างสร้างอวัยวะที่สำคัญๆของตัวอ่อน หากกินยาที่อันตราย ส่งผลต่อความพิการของทารกในครรภ์ได้เช่นแขนขาพิการ ปากแหว่ง เพดานโหว่ โดยเฉพาะยากลุ่มลดสิว  สำหรับยามัญประจำบ้านคุณแม่สามารถรับประทานได้ แต่ถ้ามีอาการรุนแรงแนะนำให้พบแพทย์เท่านั้น ข้อนี้รวมไปถึงห้ามใช้สารเคมีด้วยเช่น ฉีดยากันยุง

13.ห้ามนอนดึก
          คุณสาวๆที่กำลังมีการตั้งครรภ์ควรจะนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง ถ้าหากในตอนกลางคืนพักผ่อนไม่เพียงพอ ในช่วงกลางวันแนะนำให้คุณแม่นอนงีบสัก 1 งีบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะ 14 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์มีงานวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่า ถ้าคุณแม่ตั้งครรภ์นอนน้อยกว่าคืนละ 5 ชั่วโมง จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่าง ๆ รุมเร้าตลอดระยะเวลาการตั้งครรภ์ เช่น โรคความดันโลหิตสูง  ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อคุณแม่และเจ้าตัวน้อยในครรภ์ด้วย

14.ห้ามลดน้ำหนักหรืออดอาหาร
         ถ้าคุณหมอไม่ได้สั่งคุณแม่ว่าต้องจำกัดอาหาร คุณแม่ก็ควรควรรับประทานอาหารให้ครบ และเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพราะคุณแม่ที่อดอาหารขณะมีการตั้งครรภ์ จะส่งผลให้ทารกมีอัตราการคลอดก่อนกำหนดสูง และสมองอาจจะพิการได้ เพราะว่า ในอาหารทั้ง 5หมู่นั้น มีสารอาหารที่สำคัญมากๆต่อการบำรุงสมองของเจ้าตัวน้อย เช่น โฟเลต ที่ได้จากผักผลไม้ และวิตามินต่างๆที่สามารถช่วยในการสร้างอวัยวะสำคัญๆ คุณแม่ที่เกรงว่าจะอ้วน หลังคลอดแนะนำให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เองอย่างเดียวรับรองน้ำหนักจะลดลงอย่างรวดเร็วค่ะ

          การดูแลสุขภาพการตั้งครรภ์นั้นสำคัญ เพราะไม่ใช่เพราะคุณแม่เพียงคนเดียว แต่รวมไปถึงเจ้าตัวน้อยในท้องด้วย หากพบความผิดปกติควรพบแพทย์ทันที


ติดตามต่อได้ที่ >> http://women.sanook.com/mom-baby/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น