วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

"โฟเลต" อาหารคนท้อง !!

"โฟเลต" สารอาหารที่จำเป็นต่อการตั้งครรภ์

อาหารคนท้อง



          คุณแม่ที่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังมีการตั้งครรภ์ลูกน้อยทุกคนล้วนหวังให้บุตรของตนมีร่างกายที่สมบูรณ์ แข็งแรง ครบ 32 ประการ แต่ก็มีไม่น้อยที่ทารกเกิดภาวะผิดปกติตั้งแต่กำเนิด หรือ “ความพิการแต่กำเนิด” นายแพทย์กุลเสฏฐ ศักดิ์พิชัยสกุล นายแพทย์ประจำสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) กล่าวว่า “สาเหตุของความพิการดังกล่าวเกิดจากหลายสาเหตุประกอบกัน เช่น สาเหตุจากพันธุกรรม โรคประจำตัวของมารดาโดยเฉพาะโรคเบาหวาน สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ สารเคมี อาหาร หรือยาบางชนิด ระหว่างตั้งครรภ์ รวมถึงภาวะขาดสารอาหารที่จำเป็นขณะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะ โฟเลต หรือ วิตามินโฟลิก”

อาหารคนท้อง


วิตามินฮีโร่ ปกป้องลูกน้อย

         ‘โฟเลต’ หรือ ‘วิตามินโฟลิก’ เป็นสารอาหารคนท้องที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสร้างรหัสพันธุกรรม ทั้ง ดีเอ็นเอ ยีนและโครโมโซมของมนุษย์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเซลล์ต้นกำเนิดของทารก นับตั้งแต่ช่วงเริ่มปฏิสนธิจนกลายเป็นตัวอ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 28 วันแรกหลังจากปฏิสนธิที่เป็นช่วงของการสร้างระบบประสาท ทั้งสมองและกระดูกสันหลัง รวมถึงระบบอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย โดยการรับประทานโฟเลตที่ถูกต้องจะต้องรับประทานอย่างน้อย 1 ถึง 2 เดือนก่อนการตั้งครรภ์จึงจะสามารถป้องกันการพิการแต่กำเนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และควรรับประทานโฟเลตขนาด 400 ไมโครกรัม หรือวันละ 1 เม็ด ต่อเนื่องกันเพื่อให้มีระดับโฟเลตภายในร่างกายอยู่ในระดับที่พอเหมาะต่อการเติบโตของตัวอ่อน รวมถึงรับประทานต่อเนื่องไปถึงช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ด้วย

        แพทย์แนะนำให้หญิงวัยเจริญพันธุ์รับประทานโฟเลตไว้แต่เนิ่นๆ โดยอาจเริ่มทานตั้งแต่หลังแต่งงาน เพราะโฟเลตไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สามารถขับออกได้ทางปัสสาวะ และยังช่วยบำรุงสมอง บำรุงเลือด รวมถึงทำงานของร่างกายในระดับดีเอ็นเอได้อีกด้วย ทั้งนี้ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถผลิตโฟเลตเองได้ จำเป็นต้องได้รับจากการรับประทานทั้งประเภทยา และอาหารทั่วไป โดยพบมากในอาหารจำพวกตับ ผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ผักโขม ดอกกุยช่าย ผักกาดหอม และผลไม้สด เป็นต้น

ขอบคุณที่มา : http://health.sanook.com/773/

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เตรียมตัวเพื่อ"การตั้งครรภ์" ที่สมบูรณ์ !

การเตรียมตัวเพื่อ "การตั้งครรภ์" ที่สมบูรณ์

เพื่อ "การตั้งครรภ์" ที่สมบูรณ์


การตั้งครรภ์



          การดูแลสุขภาพร่างกายของคุณแม่ ไม่ใช่เพียงแค่การดูแลขณะมีการตั้งครรภ์เท่านั้น หากต้องการให้ได้การตั้งครรภ์ที่มีคุณภาพ ลูกน้อยคลอดออกมาแล้วมีร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง ควรเริ่มจากการเตรียมตัวที่ดีของทั้งคุณพ่อและคุณแม่ตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ โดยหัวหน้าเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้กล่าวกึงการเตรียมตัวให้พร้อมของคุณพ่อคุณแม่ไว้ว่า

- ควรปรึกษาคุณหมอตั้งแต่วางแผนเตรียมการตั้งครรภ์
          ก่อนจะมีลูกแนะนำให้ทั้งคุณพ่อและคุณแม่มีความพร้อมทั้งคู่ก่อน ไม่ใช่เพียงความต้องการของคนใดคนหนึ่ง หากพร้อมที่จะมีการตั้งครรภ์แล้วก็ควรไปปรึกษาคุณหมอ เพื่อทำการตรวจร่างกายทั้งคุณพ่อและคุณแม่ เช็คดูว่ามีข้อจำกัดในการที่จะมีการตั้งครรภ์หรือไม่ มีโรคทางพันธุกรรมหรือไม่ หรือมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า เช่น ธาลัสซีเมีย โรคเลือด เพื่อที่จะทำการรักษาก่อนที่จะมีการตั้งครรภ์ รวมไปถึงขอรับคำแนะนำจากแพทย์ว่าหากตรวจพบความผิดปกติแล้ว ควรทำอย่างไร วางแผนการตั้งครรภ์ยังไงต่อไปค่ะ

- วัคซีนที่ควรได้รับ และยาที่ควรหยุดก่อนการตั้งครรภ์
          หากว่าที่คุณแม่วางแผนเตรียมพร้อมที่จะมีการตั้งครรภ์แล้ว ควรหยุดการรับประทานยา เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาคุมกำเนิด ยาเบาหวานความดันต่างๆ หรือหากคุณแม่ทานยาเพื่อรักษาสิวอยู่ก็ต้องหยุดทันที เพราะถ้ามีการตั้งครรภ์ภายในสามเดือน จะต้องทำแท้ง เพราะผลจากการทานยารักษาสิวจะทำให้เด็กพิการ และถ้าคุณแม่มีความต้องการจะฉีดวัคซีน เช่น ไวรัสตับอักเสบบี หรือหัดเยอรมัน แนะนำให้ฉีดให้เรียบร้อยก่อนปล่อยให้มีการตั้งครรภ์ ไวรัสตับอักเสบบี สามารถฉีดเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ควรตรวจดูก่อนว่าตัวเองมีภูมิหรือไม่ ส่วนหัดเยอรมัน แนะนำให้ตรวจดูก่อนว่ามีภูมิไหม หากไม่มีควรฉีดให้เรียบร้อยก่อนการตั้งครรภ์ประมาน 3 เดือน เพราะจะมีผลกับเด็ก แต่วัคซีนชนิดอื่น ไม่แนะนำให้ฉีดค่ะ 

- การใช้ยาหรือสารเคมี และการทายวิตามินเสริม
          ก่อนที่คุณแม่จะมีการตั้งครรภ์ ควรจะรับประทานกรดโฟลิก ประมาณ 400 มิลลิกรัมต่อวัน ต่อเนื่องประมาณ 3 เดือน เพื่อช่วยให้ระบบประสาทของลูกน้อยมีโอกาสเกิดความผิดปกติน้อยลง และถ้าหากตัวคุณแม่เองซีด หรือขาดธาตุเหล็ก แนะนำให้รับประทานธาตุเหล็ก 30 มิลลิกรัมต่อวัน และสำหรับวิตามินอื่นๆ หากว่าที่คุณแม่ทานอาหารครบ 5 หมู่แล้ว คุณหมอไม่แนะนำให้ทานค่ะ สำหรับว่าที่คุณแม่ที่ทานยาคุมกำเนิดนานๆ จะทำให้ประจำเดือนไม่มาประมาณ 6 เดือน ดังนั้นควรหยุดการทานยาคุมกำเนิดให้ได้ก่อน 6 เดือนจะดีมาก และหากฝังยาคุมไว้ ถ้าเอาออกก็สามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติ ส่วนในเรื่องของสารเคมีที่ทำให้โอกาสการตั้งครรภ์น้อยลง ก็คือ บุหรี่ แนะนำให้เลิกบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมไปถึงสารเสพติดทั้งหลายด้วยนะคะ

- ควรรู้เรื่องวงจรการตกไข่
          หากต้องการมีเจ้าตัวน้อย ให้นับจากวันแรกที่มีประจำเดือนไป 14 วัน โดยทั่วไปแล้วคนที่มีรอบเดือนทุก 28 วัน  ให้คุณพ่อคุณแม่กุ๊กกิ๊กกันในระหว่างช่วงเวลานั้น เพราะไข่จะมีอายุประมาณ 1-2วัน ก็จะทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้สูงขึ้น แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่พยายามอย่างสม่ำเสมอประมาณ 3 รอบในหนึ่งเดือน ก็จะสามารถมีการตั้งครรภ์ได้

- ฮอร์โมนและความเครียด ส่งผลถึงจิตใจ
          ก่อนการตั้งครรภ์ คุณแม่ควรเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม ให้รู้ว่าเมื่อท้องแล้ว คลอดลูกแล้ว ร่างกายจะเกิดความเปลี่ยนแปลง อาจจะอ้วนขึ้น ผิวพรรณแห้ง ไม่ค่อยมีน้ำมีนวล ควรทำความเข้าใจกับตัวเองและสามีด้วย คุณพ่อควรทำความเข้าใจว่า คนท้องจะอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ขี้น้อยใจ โกรธง่าย จากเดิมทีที่เป็นอยู่แล้วจะเป็นมากขึ้น เป็นการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน ในบางครั้งก็จะมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ว่าเกิดอารมณ์แบบนี้เพราะอะไร ฉะนั้นคุณสามีจึงต้องทำความเข้าใจกันนิดหนึ่งนะคะ ไม่เช่นนั้นอาจทะเลาะกันได้ 

- คุณพ่อต้องเตรียมตัวอย่างไร
         คุณสามีก็ควรจะไปตรวจร่างกายพร้อมๆกับคุณแม่นะคะ เพื่อตรวจว่ามีเชื้อหรือไม่และตรวจคุณภาพของเชื้อ คุณผู้ชายบางท่านร่างกายแข็งแรงแต่ไม่มีเชื้อ บางท่านท่ออสุจิตัน มีน้ำออกมาก็จริงแต่ไม่มีเชื้อ และที่สำคัญต้องงดสูบบุหรี่ บุหรี่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เชื้ออสุจิน้อยลงและไม่แข็งแรง รวมไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสารเสพติดต่างๆด้วย ควรทานอาหารให้ครบหมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะทำให้มีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์มากขึ้นนะคะ
          และอีกหนึ่งเรืองที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันคือในเรื่องของอายุค่ะ ช่วงอายุที่เหมาะแก่การตั้งครรภ์ที่สุดอยู่ในช่วง 25-35ปี หากคุณแม่อายุเกิน 35 ปี ควรเตรียมใจไว้เลยว่า หากท้องแล้วจะต้องเจาะน้ำคร่ำเพื่อตรวจสารชีวเคมีที่อยู่ในเลือด เป็นการตรวจเพื่อคัดกรองทารกในครรภ์ และเตรียมใจรับมือกับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น เช่น ความดัน เบาหวาน หรือครรภ์เป็นพิษ ฉะนั้นจึงควรเข้ามารับคำแนะนำ พูดคุยกับคุณหมอเพื่อจะได้มีการเตรียมตัวที่ดีเพื่อต้อนรับเจ้าตัวน้อยต่อไปค่ะ


ขอขอบคุณที่มาเรื่องราวดีจาก : http://women.sanook.com/11658/
อ่านเรื่องอื่นเพิ่มเติม : http://women.sanook.com/mom-baby/

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ลดน้ำหนักหลังการตั้งครรภ์ ไม่ยาก !

ลดน้ำหนักหลังการตั้งครรภ์ ไม่ยาก !

อาการตั้งครรภ์


          เรื่องน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นคงเป็นเรื่องที่น่าหนักใจของสาวๆหลายคนหลังคลอดเจ้าตัวน้อย จึงจำเป็นต้องสรรหาสารพัดวิธีเพื่อมาดูแลรูปร่างให้กลับมาดูดี แต่หลายคนคงกำลังเข้าใจผิด ใช้วิธีลดน้ำหนักแบบผิดๆกันอยู่ เรามาเริ่มทำความเข้าใจกันใหม่เลยค่ะ !!

อาการตั้งครรภ์


- พักผ่อนให้เพียงพอ
          ร่างกายคนเราต้องการการนอน เมื่อร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อน ฮอร์โมนที่เร่งการเผาผลาญจะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้น สาวๆควรจะนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ (6 – 8 ชั่วโมง) เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และเป็นปัญหาต่อการลดน้ำหนัก

- การลดน้ำหนัก ไม่ใช่การอดอาหาร
          โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน จัดว่าเป็นอาหารหลักที่ให้พลังงานกับร่างกายของเรา ซึ่งมีอยู่ในอาหารที่เรารับประทานอยู่ทั่วไป และส่วนหนึ่งจะถูกเก็บไปเป็นพลังงานส่วนเกินในรูปของไขมัน ยิ่งเรารับประทานอาหารที่ให้พลังงานเยอะ (สังเกตจากปริมาณแคลอรี่ที่ฉลากอาหาร) ก็จะยิ่งทำให้ร่างกายมีไขมันสะสมมากตามไปด้วย
          การลดน้ำหนัก ไม่ใช่การลดจำนวนอาหาร แต่ควรจำกัดปริมาณของไขมันส่วนเกินหรือหลีกเลี่ยงที่จะได้รับมากเกินไป เพราะบางคนไม่ทานอาหารเช้าแต่ทานมื้อเย็นแทน หรือทานมื้อเช้าเยอะๆแล้วหลังเที่ยงไม่ทานเลย แบบนี้จะทำให้มีความเสี่ยงต่อร่างกายของเรานะคะ

- ออกกำลังกายให้ถูกวิธี
          การออกกำลังกายนั้นเป็นการควบคุมน้ำหนักได้ดีที่สุด แต่สาวๆหลายคนยังเข้าใจผิดๆอยู่ว่า การออกกำลังอย่างหนักในเวลาอันสั้นๆ (เร่งการเผาผลาญ) ร่างกายของเราจะไปนำเอาพลังงานจากไกลโคเจนในกล้ามเนื้อและตับ แทบจะไม่ได้ดึงไขมันที่มีในร่างกายเลย หรือที่เรียกว่าการออกกำลังผิดวิธี ผลลัพธ์ที่ได้คือ กล้ามเนื้ออักเสบ
          อยากให้สาวๆทั้งหลายคิดเสียว่าออกกำลังกายเพื่อให้สุขภาพดี แต่เรื่องน้ำหนัดนั้นเป็นผลพลอยได้ และทำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน อาจจะเริ่มต้นจาก 10 นาที และเพิ่มไปเรื่อยๆเป็น 30 นาที สาวๆจะได้ไม่เครียดกับเรื่องการออกกำลังกายมากเกินไป


- ทานแต่ผัก ผลไม้ทำให้ผิวแย่
          การรับประทานแต่ผัก ผลไม้ หลายคนเข้าใจว่าจะทำให้น้ำหนักลด แต่อันที่จริงแล้ว เมื่อเรารับประทานไปต่อเนื่องนานๆ จะทำให้ร่างกายขาดโปรตีน วิตามินที่อยู่ในโปรตีน และไขมัน ส่งผลให้ผิวมีสภาพไม่แข็งแรง แลดูไม่สดใส และที่สำคัญไปกว่านั้นคือผลกระทบที่จะเกิดระยะยาวก็คือ อาจเกิดเป็นโรคภูมิแพ้ เพราะร่างกายขาดภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคนั่นเอง

อ่านเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจได้อีก
**เช็คอาการตั้งครรภ์เบื้องต้น
**อาหารคนท้อง

หรือติดตามข้อมูลเกี่ยวกับคนท้องได้ที่ >>  http://women.sanook.com/mom-baby/

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

อาหารคนท้อง ใกล้คลอด !

อาหารคนท้อง 10 อย่างสำหรับคุณแม่ใกล้คลอด

อาหารคนท้อง

          คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ใกล้จะคลอดเจ้าตัวน้อยเต็มทีแล้ว ควรทานอาหารคนท้องที่มีสารอาหารที่เป็นแหล่งของพลังงานสูง เพราะว่าสารอาหารเหล่านี้จำเป็นกับเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในครรภ์และยังมีส่วนช่วยในการเพิ่มพลังเบ่งให้คุณแม่ที่คลอดเองโดยธรรมชาติตอนคลอดน้องได้ดีอีกด้วยนะคะ

อาหารคนท้อง 10 ชนิด สำหรับคุณแม่ใกล้คลอด


อาหารคนท้อง


อาหารเช้าซีเรียล : ซีเรียลเหมาะแก่การเป็นอาหารคนท้องใกล้คลอด เพราะเป็นอาหารที่ทำกินได้ง่ายในตอนเช้า เพียงแค่เทใส่ชามและใส่นมลงไปก็ทานได้อิ่มสบายท้องแล้วค่ะ


ผักใบเขียว : อุดมไปด้วยธาตุเหล็กและโฟเลตซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคุณแม่ท้องตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ คุณแม่สามารถเลือกกินได้หลากหลาย เช่น คะน้า กวางตุ้ง ผักโขม ผักกาดหอม เป็นต้น


ถั่ว : เป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง และยังมีกากใยสูงมากอีกด้วย จึงเป็นอาหารคนท้องที่เหมาะสำหรับคุณแม่ที่กำลังต้องการพลังงานในช่วงใกล้คลอดอย่างมากเลยทีเดียว


ถั่วเหลือง : อาหารที่ทำจากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ น้ำเต้าหู้ ยิ่งน้ำเต้าหู้เหมาะมากสำหรับเป็นอาหารคนท้องในยามเช้าของคุณแม่ หรือเต้าหู้สามารถนำไปทำเป็นต้มจืด นึ่ง หรือทอด กินกับน้ำจิ้มก็อร่อยมากค่ะ


บล็อคโคลี : เป็นผักสีเขียวที่มีกากใย และ สารต้านอนุมูลอิสระ ผักที่มีสารสีเขียวนั้นจะช่วยในการดูดซึมของธาตุเหล็กได้ดีค่ะ


ไข่ : เป็นอาหารคนท้องที่คุณแม่จำเป็นต้องกินอยู่แล้วทุกวันค่ะ เพราะเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญ และมีกรดอะมิโนที่สำคัญต่างร่างกาย  ไข่เป็นอาหารที่ทำทานง่ายมาก ไม่ว่าจะ ทอด ต้ม หรือ เจียว ทำได้ง่ายใช้เวลาไม่มาก สามารถทำทานได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์มากมายค่ะ


นมไขมันต่ำ : อย่างที่ทราบกันดีว่า นมนั้นเป็นอาหารคนท้องที่ดีมากๆ คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ควรทานนมให้มากกว่าปกติเป็น 2 เท่า หรือทานให้ได้ในปริมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณอาหารที่ทานไปทั้งหมดใน 1 วันค่ะ


ชีส: ชีสเป็นอาหารที่นำมาทำเป็นอาหารคนท้องได้อร่อย และยังมีแคลเซียมสูงมาก ถ้าคุณแม่คนไหน แพ้ท้องไม่อยากกินนมสามารถทานชีสเป็นการทดแทนได้นะคะ


กล้วย : นอกจากกล้วยจะให้พลังงานสูงแล้ว ยังเป็นอาหารคนท้องที่ทำให้คุณแม่อิ่มสบายท้อง และยังย่อยง่ายอีกด้วยค่ะ


เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน : ในเนื้อสัตว์มีโปรตีนและพวกธาตุเหล็กสูง เนื้อสัตว์เป็นอาหารคนท้องที่คุณแม่ต้องกินเป็นประจำอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องนำมาปรุงให้สุก และให้นิ่มเพื่อจะได้ย่อยง่ายค่ะ

อ่านเรื่องอื่นๆต่อได้ที่ >> http://women.sanook.com/mom-baby/

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ระวัง !! อันตรายใกล้ตัว ในขณะการตั้งครรภ์

ระวังอันตรายแบบคาดไม่ถึง เมื่อคุณมีการตั้งครรภ์

การตั้งครรภ์

เหตุการณ์ที่เราคาดไม่ถึงสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเอง การระมัดระวังตัวเองของคุณแม่ที่มีการตั้งครรภ์ หากคุณแม่ทั้งหลายยังใช้ชีวิตปกติ ทำงานในชีวิตประจำวันอย่างปกติ โดยไม่ระมัดระวัง สิ่งที่คุณแม่ไม่คาดคิดมาก่อนอาจจะเกิดขึ้นก็เป็นได้ และหากคุณแม่ยังทำเป็นประจำสม่ำเสมอนั้น อาจจะส่งผลเสียกับตัวคุณแม่เอง และเจ้าตัวน้อยในครรภ์ยังพลอยได้รับผลกระทบตามไปด้วย

การตั้งครรภ์


- เปิดเพลงเสียงดัง อันตรายต่อลูก
          คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ อาจจะกำลังเข้าใจผิดคิดว่าหากเปิดเพลงเสียงดังๆ เจ้าตัวน้อยในท้องจะได้ยินแบบชัดเจน ซึ่งอันที่จริงแล้ว การเปิดเพลงเสียงดังเป็นอันตรายต่อเจ้าตัวน้อยนะคะ เพราะการเปิดเสียงเพลงดังๆเพื่อให้ลูกฟัง จะเป็นการไปรบกวนเจ้าตัวน้อยในท้องโดยตรงเลย เนื่องจากประสาทหูของลูกยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้เด็กอาจเกิดความเครียด ส่งผลให้พัฒนาการของลูกเป็นไปได้ไม่เต็มที่ การเปิดเพลงเพื่อส่งเสริมพัฒนาการทารกน้อยในครรภ์นั้น แค่ใช้จังหวะเบาๆ อย่างเพลงคลาสสิค หรือเพลงไทยทั่วไปที่มีท่วงทำนองเบาๆ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ

- แค่การเคี้ยวอาหารก็อันตรายได้
เรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างการเคี้ยวอาหารนั้น หากคุณแม่กำลังมีการตั้งครรภ์มองข้าม มันสามารถนำผลเสียมากมายมาให้ทั้งคุณแม่และเจ้าตัวน้อยเลยก็ได้นะคะ หากคุณแม่ที่กำลังมีการตั้งครรภ์อยู่นั้น รีบเร่งในการเคี้ยวอาหาร เคี้ยวแป๊บเดียวก็รีบกลืน ผลเสียที่จะตามมาคืออาหารที่คุณแม่กลืนลงกระเพาะจะย่อยยาก ทำให้มีอาการแน่นท้อง จุกเสียดท้อง หรือท้องอืด ส่งผลให้การรับประทานอาหารในครั้งต่อไปลดน้อยลง เจ้าตัวน้อยในครรภ์จึงได้รับผลกระทบนี้ไปด้วย เพราะฉะนั้น ในการรับประทานอาหารครั้งใดก็ตาม คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ควรคิดไว้เสมอว่า ต้องทานให้ตรงเวลา รวมถึงต้องเคี้ยวอาหารให้ละเอียด เพราะนี่ คือ สิ่งที่ดีที่ทำให้เจ้าตัวน้อยของคุณจะได้รับสารอาหารที่ดีตามไปด้วย

- ฟันผุอันตราย
          หากคุณกำลังมีการตั้งครรภ์อยู่แล้วเกิดมีอาการฟันผุ อย่าปล่อยให้แบคทีเรียสะสมจนถึงขั้นเหงือกบวมนะคะ เพราะผลที่ตามมาคือ คุณแม่อาจจะติดเชื้อในกระแสเลือด และมันสามารถไปสู่เจ้าตัวน้อยในครรภ์น้อยได้ จนอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นหากคุณรู้ตัวว่ากำลังมีการตั้งครรภ์ คุณแม่ต้องรักษาความสะอาดของช่องปากให้ดีนะคะ เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ก็ไม่ควรจะมองข้ามค่ะ มันนำมาซึ่งปัญหาที่ยิ่งใหญ่

- สัตว์เลี้ยงน่ารัก พาหะนำโรค
          หากคุณแม่ตั้งครรภ์ชอบเลี้ยงสัตว์ไว้ในบ้าน หรือชอบเล่นกับสัตว์เลี้ยง อาจจะลืมนึกถึงไปว่า เห็บหมัด สามารถที่จะนำเชื้อโรคมาสู่ทั้งคุณแม่ และเจ้าตัวน้อยได้โดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นคุณแม่ที่กำลังมีการตั้งครรภ์ควรจะดูแลความสะอาดของสัตว์เลี้ยงในบ้านให้มากขึ้น เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีค่ะ

- อย่ายกของหนักเด็ดขาด
          เมื่อรู้ตัวว่ากำลังมี่การตั้งครรภ์อยู่ คุณแม่ควรระลึกไว้เสมอว่า ห้ามยกของหนักเป็นเด็ดขาด ซึ่งบางครั้งคุณแม่บางท่านอาจจะเผลอตัวไปเดินช้อปปิ้งซื้อของพะรุงพะรัง จะทำให้กล้ามเนื้อหลัง กล้ามเนื้อขา และข้อต่างๆ ต้องทำงานหนัก ทำให้เกิดการกระตุ้นให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา เช่น ความดันโลหิตสูง เนื่องจากหัวใจต้องทำงานหนัก ปวดหลัง ปวดไหล่ เป็นต้น

- หุนหันพลันแล่น ทำอะไรรวดเร็ว
          ส่วนใหญ่แล้วคนที่มีการตั้งครรภ์บางท่านก็มักลืมตัวไปว่า ตัวเองนั้นกำลังตั้งครรภ์อยู่ อาจจะยังเคลื่อนไหวร่างกายเป็นไปแบบปกติอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การลุก นั่ง หรืออื่นๆ ถ้าหากเป็นคุณแม่ที่มีอายุครรภ์ยังน้อยๆอยู่นั้น ก็ไม่เป็นอันตรายอะไรมากนั้น แต่หากเป็นคุณแม่ที่อายุครรภ์อยู่ในช่วงเดือนท้ายๆ แล้วมีการเคลื่อนไหว เดินเหิน ลุกนั่ง อย่างรวดเร็ว ย่อมส่งผลไปถึงเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในครรภ์ด้วย รวมไปถึงการเกิดผลต่อผนังมดลูกในท้อง ทำให้มดลูกบีบตัว คุณแม่จะรู้สึกปวดท้อง และถ้าหากมดลูกเกิดการบีบตัวมากๆ อาจทำให้เจ้าตัวน้อยคลอดก่อนกำหนดได้


          นี่เป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว ที่คุณแม่หลายๆคนกำลังมีการตั้งครรภ์มักมองข้ามไป จนนำไปสู่เรื่องใหญ่ๆ ซึ่งหากเริ่มต้นใส่ใจมากขึ้น รับรองว่าการตั้งครรภ์ของคุณแม่จะปลอดภัยแบบหายห่วงได้เลยค่ะ

ดูเรื่องอื่น - อาหารคนท้อง
                - เช็ค ! อาการคนท้อง

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ห้ามทำ !! หากมีการตั้งครรภ์

เมื่อคุณมีการตั้งครรภ์ ห้ามทำสิ่งเหล่านี้ !!

การตั้งครรภ์


          ในขณะที่คุณสาวกำลังมีการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะการตั้งครรภ์ที่เป็นครรภ์แรก คุณอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับพฤติกรรมที่คนท้องไม่ควรทำ หรือข้อห้ามต่างๆที่คุณหมอเตือนว่าห้ามทำหรือหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ทำให้น้อยที่สุดเพื่อสุขภาพของคุณแม่และเจ้าตัวน้อย ซึ่งข้อห้ามที่จะกล่าวถึงนั้นมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มารองรับไม่ใช่คำบอกเล่าจานกันมาแต่อย่างใดนะคะคุณแม่

การตั้งครรภ์


1.ห้ามสามีนอกใจ
          รายงานทางการแพทย์พบว่า สามีนอกใจภรรยามากที่สุดในช่วงที่ภรรยามีการตั้งครรภ์ ไปเที่ยวหญิงบริการ มีเพศสัมพันธุ์กับผู้หญิงอื่นมากหน้าหลายตา การกระทำดังกล่าวอาจส่งผลต่อแม่และลูกเพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ เช่น เชื้อเอดส์ เชื้อหนองใน เชื้อเริม และโรคซิฟิลิส  ทุกเชื้อที่กล่าวมานั้นอาจส่งผลต่อสุขภาพของทารกอาจทำให้เกิดความพิการได้ การป้องกัน คุณแม่ที่มีการตั้งครรภ์อย่าละเลยในการให้ความสุขกับสามี เพราะตลอด 9 เดือน คุณแม่ตั้งครรภ์ที่แพทย์ไม่ได้จำกัดกิจกรรมทางเพศ คุณสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติในท่าทีไม่ผาดโผนจนเกินไป

2.ห้ามปีนป่ายที่สูงหรือยกของหนัก
           ในขณะที่คุณแม่ตั้งครรภ์ยกของที่มีน้ำหนักเยอะ แรงดันจะไปกดอยู่ที่มดลูก เพราะมดลูกเป็นจุดศุูนย์กลาง แรงดันขณะยกของเสี่ยงต่อการแท้งบุตรได้ การยกของหนัก – ปีนป่ายที่สูง หากเสียการทรงตัวทำให้อาจทำให้ล้มกระแทกได้

3. ห้ามใช้น้ำยาทำความสะอาดช่องคลอดหรือสวนล้างช่องล้างช่องคลอด
          ในระหว่างการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนที่มีการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลให้อวัยเพศมีกลิ่นมากขึ้น คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรจะสวนล้างช่องคลอด หรือใช้ผลิตภัณฑ์กำจัดกลิ่น เพราะจะเป็นการนำพาเชื้อโรคเข้าสู่ช่องคลอดโดยตรง โดยปกติแล้วบริเวณช่องคลอดจะมีเชื้อที่คอยดักจับเชื้อโรคไม่ให้ผ่านเข้าไปในช่องคลอด คนปกติจึงไม่เกิดการติดเชื้อได้ง่ายๆ แต่ถ้าเมื่อไหร่ มีการสวนล้างช่องคลอดหรือใช้น้ำยารุนแรง เชื้อที่เคยมีจะตายไป ทำให้เชื้อโรคต่างๆวิ่งเข้าสู่ช่องคลอด อาจะทำให้โพรงมดลูกเกิดการติดเชื้อทั้งแม่และลูกได้อย่างง่ายดาย

4.ห้ามใส่ชุดรัดแน่นพอดีตัวจนเกินไป
           คุณแม่ตั้งครรภ์ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมๆสบายๆ ระบายอากาศได้ดี เนื่องจากในระหว่างการตั้งครรภ์มีการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในร่างกายอย่างมากโดยเฉพาะฮอร์โมนเพศ ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์มีกลิ่นตัว รวมถึงกลิ่นอวัยะเพศที่แรงขึ้นด้วย การสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น ทำให้เกิดกลิ่นอับมากขึ้น และยังทำให้ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี หายใจไม่สะดวกอาจจะทำให้หน้ามืด หรือเป็นลมได้

5.ห้ามดื่มนมเยอะเกินวันละ 2 แก้ว
          คุณแม่หลายๆคนดื่มนมเพื่อบำรุงครรภ์ตั้งแต่รู้ว่าเริ่มตั้งครรภ์ในปริมาณมาก แต่ตามหลักโภชนาการแล้ว ควรเริ่มดื่มนมบำรุงครรภ์เมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่2ของการตั้งครรภ์ เพราะช่วงในเวลาดังกล่าวทารกจะสามารถดึงแคลเซี่ยมจากคุณแม่ไปใช้มากขึ้น อาจจะทำให้คุณแม่สูญเสียเเคลเซียมในร่างกายไปมากกว่าปกติ ดังนั้นการดื่มนมวัววันละ 1 แก้ว หรือนมถั่วเหลืองวันละ 2แก้วก็เพียงพอแล้ว หากคุณแม่ตั้งครรภ์ดื่มนมมากเกินความจำเป็นอาจส่งผลให้ทารกมีความเสี่ยงต่อการแพ้ได้ง่าย เช่น แพ้โปรตีนในนมวัว เป็นต้น

6.ใกล้คลอด ห้ามเดินทางไกล
          สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ไตรมาสสุดท้ายแล้ว โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีอายุครรภ์ 32 สัปดาห์ขึ้นไป ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไกล เพราะในช่วงเวลานี้จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือการคลอดก่อนกำหนดได้ง่ายๆ

7.ห้ามทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์
          อาหารไม่มีประโยชน์ในที่นี้ นอกจากจะทำลายสุขภาพของคุณแม่แล้ว ยังส่งผลไปถึงสมองของลูกน้อยด้วย ได้แก่ พวกแอลกอฮอล์ คาเฟอีน อาหารที่มีรสหวานจัด มันจัด เผ็ดจัด ดิบๆสุกๆ ของหมักดอง อาหารกระป๋อง และอาหารที่ใส่ผงชูรส

8.อย่าผิดนัดฝากครรภ์
          คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องให้ความสำคัญของการฝากครรภ์ เพราะร่างกายของคุณแม่และเจ้าตัวน้อยจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถ้าเกิดพบความผิดปกติของตัวคุณแม่หรือลูกน้อยในครรภ์ คุณหมอจะได้ให้การช่วยเหลือได้ทันเวลา  หากติดธุระพลาดนัด ก็ควรรีบไปพบคุณหมอในวันถัดไป

9.ห้ามเครียด
          ในขณะที่ร่างกายของคนเราเกิดภาวะความเครียด ฮอร์โมนคอร์ติโซลจะทำงาน ส่งผลให้ร่างกายของเราจะรู้สึกอยากทานอาหาร ทำให้คุณแม่ทานอาหารในปริมาณที่มากขึ้น เครียดมากก็กินมาก แล้วก็อ้วนมาก จะทำให้คุณแม่ที่ตั้งครรภ์น้ำหนักตัวพุ่งพรวดได้นะคะ และนอกจากนั้นแล้ว ยังพบว่า คุณแม่ที่มีภาวะความเครียดสูง เจ้าตัวน้อยก็สามารถรับรู้ได้เช่นกัน และเมื่อเจ้าตัวน้อยคลอดออกมาแล้วจะงอแงเลี้ยงยาก

10.อย่าออกกำลังกายผาดโผนหรือหักโหมเกินไป
          ในทุกๆช่วงของการตั้งครรภ์ คุณแม่ควรออกกำลังกายในลิมิตที่พอเหมาะ ในไตรมาสแรกนั้นถ้าหากคุณแม่ออกกำลังกายหักโหมและผาดโผนมากไปจะเกิดแรงสั่นสะเทือนสูง ส่งผลต่อตัวอ่อนในครรภ์ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการแท้งบุตรได้  สำหรับไตรมาสที่ 2  –  3  อย่าออกกำลังกายหักโหมเกินไป เพราะร่างกายจะแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนไม่ทัน จะทำให้เจ้าตัวน้อยในครรภ์เกิดภาวะขาดออกซิเจนได้เช่นกัน

11.อย่าใส่รองเท้าส้นสูง
           คุณแม่ที่มีการตั้งครรภ์มักจะมาพบคุณหมอ เนื่องจากอาการการปวดหลังอยู่เป็นจำนวนมาก และโดยส่วนใหญ่แล้ว คุณแม่คงนึกไม่ถึงว่า สาเหตุจะมาจากรองเท้า การที่คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์สวมรองเท้าส้นสูงจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณเอว หลัง ลงไปถึงช่วงน่องเกิดความตึงเตรียด และทำให้เกิดอาการปวดตามมานั่นเอง นอกจากนั้นยังพบอีกว่า รองเท้าส้นสูงจะทำให้จุดศูนย์ถ่วงของคุณแม่ที่มีการตั้งครรภ์เสียสมดุล ซึ่งอาจจะทำให้ลื่นล้มและแท้งบุตรได้

12.ห้ามกินยาบ่อย
          ข้อนี้สำคัญมาก โดยเฉพาะในการตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์แรก เพราะเป็นช่วงก่อร่างสร้างอวัยวะที่สำคัญๆของตัวอ่อน หากกินยาที่อันตราย ส่งผลต่อความพิการของทารกในครรภ์ได้เช่นแขนขาพิการ ปากแหว่ง เพดานโหว่ โดยเฉพาะยากลุ่มลดสิว  สำหรับยามัญประจำบ้านคุณแม่สามารถรับประทานได้ แต่ถ้ามีอาการรุนแรงแนะนำให้พบแพทย์เท่านั้น ข้อนี้รวมไปถึงห้ามใช้สารเคมีด้วยเช่น ฉีดยากันยุง

13.ห้ามนอนดึก
          คุณสาวๆที่กำลังมีการตั้งครรภ์ควรจะนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง ถ้าหากในตอนกลางคืนพักผ่อนไม่เพียงพอ ในช่วงกลางวันแนะนำให้คุณแม่นอนงีบสัก 1 งีบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะ 14 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์มีงานวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่า ถ้าคุณแม่ตั้งครรภ์นอนน้อยกว่าคืนละ 5 ชั่วโมง จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่าง ๆ รุมเร้าตลอดระยะเวลาการตั้งครรภ์ เช่น โรคความดันโลหิตสูง  ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อคุณแม่และเจ้าตัวน้อยในครรภ์ด้วย

14.ห้ามลดน้ำหนักหรืออดอาหาร
         ถ้าคุณหมอไม่ได้สั่งคุณแม่ว่าต้องจำกัดอาหาร คุณแม่ก็ควรควรรับประทานอาหารให้ครบ และเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพราะคุณแม่ที่อดอาหารขณะมีการตั้งครรภ์ จะส่งผลให้ทารกมีอัตราการคลอดก่อนกำหนดสูง และสมองอาจจะพิการได้ เพราะว่า ในอาหารทั้ง 5หมู่นั้น มีสารอาหารที่สำคัญมากๆต่อการบำรุงสมองของเจ้าตัวน้อย เช่น โฟเลต ที่ได้จากผักผลไม้ และวิตามินต่างๆที่สามารถช่วยในการสร้างอวัยวะสำคัญๆ คุณแม่ที่เกรงว่าจะอ้วน หลังคลอดแนะนำให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เองอย่างเดียวรับรองน้ำหนักจะลดลงอย่างรวดเร็วค่ะ

          การดูแลสุขภาพการตั้งครรภ์นั้นสำคัญ เพราะไม่ใช่เพราะคุณแม่เพียงคนเดียว แต่รวมไปถึงเจ้าตัวน้อยในท้องด้วย หากพบความผิดปกติควรพบแพทย์ทันที


ติดตามต่อได้ที่ >> http://women.sanook.com/mom-baby/

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

อาหารคนท้อง (ไม่ควรกิน)

อาหารคนท้อง

อาหารคนท้อง (ไม่ควรกิน)


อาหารคนท้อง



          หลายๆคนกำลังสับสนเกี่ยวกับอาหารคนท้องที่ควรกินและไม่ควรกิน อาหารบางอย่างมีประโยชน์ต่อคุณแม่ตอนไม่ท้อง แต่พอท้องแล้วไม่สามารถรับประทานได้ เพราะว่า เมื่อร่างกายของคุณแม่ทั้งหลายเกิดการเปลี่ยนแปลง ระบบภูมิคุ้มกันของคุณแม่ก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจจะทำให้คุณแม่ทั้งหลายมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆได้ง่ายขึ้น อาหารบางอย่างที่คิดว่าดีและมีประโยชน์ อาจจะไม่ดีต่อร่างกายของคุณแม่และลูกน้อยก็เป็นได้

          งานวิจัยของสหรัฐอเมริกา ในรัฐแคลิฟอร์เนีย พบว่า เทอราโทเจน (Teratogen) เป็นสารที่มีอันตรายต่อทารกน้อยในครรภ์ และได้ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในอาหาร พบว่ามีสารพิษตกค้างอยู่ในอาหารทั่วไป ซึ่งไม่ใช่อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ แต่สามารถก่อให้เกิดอันตรายกับลูกน้อยของคุณได้ จึงไม่เหมาะแก่การเป็น “อาหารคนท้อง

1.ปลาชนิดต่างๆ
          อย่างที่เราทราบกันดีว่า ปลา เป็นอาหารที่มีประโยชน์ แต่ก็มีปลาบางประเภทที่คุณแม่ทั้งหลายไม่ควรกินนะคะ เช่น

- ปลาทูน่า เพราะทูน่ามีสารชนิดนึงที่เรียกว่า เมทิลเมอร์คิวรี่ (Methylmercury)  หรือสารปรอทชนิดหนึ่งนั่นเอง

- ปลาแซลมอน (ที่เพาะเลี้ยงในฟาร์ม) เพราะในฟาร์มที่ใช้เลี้ยงนั้นมีสารพีซีบี (PCBs) หรือ โพลีคลอลิเนตไบฟีนิล (polychlorinated biphenyls) เป็นสารอินทรีย์ที่มีคลอรีนเป็นส่วนประกอบ จะส่งผลให้ลูกน้อยของคุณมีน้ำหนักตัวช่วงแรกเกิดน้อย

- ปลาที่มีสารประกอบของปรอทสูงมาก เช่น ฉลาม ปลาดาบ ปลาปากนก คุณแม่ทั้งหลายก็ควรหลีกเลี่ยงนะคะ
       
 นอกจากนี้ก็ควรหลีกเลี่ยงพวกปลาดิบรวมไปถึงอาหารทะเลสดด้วยนะคะ เพราะอาหารเหล่านี้อาจมี จุลินทรีย์ ไวรัส และพยาธิ ซึ่งไม่ดีต่อลูกน้อยนั่นเองค่ะ


2.อาหารกระป๋อง
แน่นอนว่าอาหารที่ผ่านการแปรรูปมาแล้วนั้น มีคุณค่าทางโภชนาการไม่เท่ากับอาหารที่ปรุงสดๆใหม่ๆแน่นอน เนื่องจากวัสดุที่ใช้ในการผลิตกระป๋องอาจปนเปื้อนไปกับอาหาร ไม่ดีต่อลูกน้อยของเราแน่ๆค่ะคุณแม่ทั้งหลาย


3.น้ำประปาที่มาจากก๊อกน้ำ
ในน้ำประปานั้นมีสารมลพิษตกค้างที่ปนเปื้อนมาจากแหล่งจ่ายน้ำ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลางของลูกน้อยทำให้ลูกน้อยของคุณแม่มีน้ำหนักแรกคลอดน้อยนะคะ


4.อาหารที่มีคาเฟอีน
ข้อนี้ควรระวังเป็นพิเศษเลยนะคะ เพราะว่าคาเฟอีนนั้นสามารถส่งผลรุนแรงกับทารกในครรภ์อาจถึงขั้นเกิดการตายคลอดได้ (*ตายคลอด คือ การที่ทารกเสียชีวิตในครรภ์ หรือเสียชีวิตระหว่างการคลอดนั่นเอง)


  หากเป็นในสมัยก่อนนั้นเราสามารถที่จะทานอะไรก็ได้ ซึ่งแตกต่างกับสมัยนี้ ที่คุณแม่ๆทั้งหลายจำเป็นต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะสารตกค้างที่ปนเปื้อนมากับอาหารที่เรารับประทานกันเป็นประจำทุกวันนั้น ส่งผลเสียต่อลูกน้อยของเรา ขอให้คุณแม่ทั้งหลายรับประทานอาหารที่ถูกต้องในปริมาณที่เหมาะสมนะคะ


ขอบคุณที่มา : http://women.sanook.com/34001/
ติดตามเรื่องราวอื่นๆ : women.sanook


วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

8 สัญญาณข่าวดีของ “อาการคนท้อง”!

8 สัญญาณ "อาการคนท้อง"

อาการคนท้อง


อาการคนท้อง


          ผู้หญิงหลายๆคนที่กำลังตั้งครรภ์อาจเข้าใจว่า อาการคนท้องนั้นมีแค่อาการคลื่นไส้อาเจียนเท่านั้น แต่จริงๆแล้วยังมี อาการคนท้อง อื่นๆอีกหลายอย่างที่เป็นสัญญาณบอกข่าวดีให้กับสาวๆที่กำลังจะเป็นคุณแม่ อย่าพึ่งเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพียงอาการเจ็บป่วยธรรมดาเท่านั้นนะ คุณอาจจะกำลังมีเจ้าตัวน้อยก็ได้ !



1.ปวดปัสสาวะบ่อย
          คุณแม่ที่เริ่มตั้งครรภ์จะมีอาการปวดปัสสาวะบ่อย  เพราะร่างกายจะผลิตเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ มากขึ้น ทำให้ไตขับของเสียในรูปของของเหลวมากขึ้นตามไปด้วย

2.รอบเดือนไม่มา
          ถ้าหากประจำเดือนไม่มาและมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย แนะนำให้ไปซื้อเครื่องมือตรวจการตั้งครรภ์มาตรวจ

3.คลื่นไส้ อาเจียน
          อาการคลื่นไส้อาเจียน โดยทั่วไปแล้วเป็นอาการคนท้องที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่ตัวอ่อนปฏิสนธิได้ประมาณ 1 เดือน และจะมีอาการน้อยลงเมื่อเข้าสู่ช่วงที่สองของการตั้งครรภ์ แต่ก็ไม่เสมอไป คุณแม่บางคนอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนเร็วกว่ากำหนด แต่บางคนก็ไม่มีอาการเลย หรือไม่ก็อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนไปจนถึงเดือนสุดท้ายก่อนคลอดก็เป็นได้

4.เหม็นกลิ่นต่างๆ
          เมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มขึ้น เลยส่งผลทำให้คุณแม่ที่ตั้งครรภ์จมูกไวขึ้น ได้รับกลิ่นอะไรก็พาลเหม็นไปเสียหมด จนรู้สึกอยากจะอาเจียน อาหารที่เคยชอบทานก็กลับเหม็นได้เช่นกัน

5.เจ็บหน้าอก / หน้าอกบวม
          ในระยะแรกของการเริ่มตั้งครรภ์ คุณแม่หลายคนอาจมีอาการหน้าอกบวม เพราะมีเลือดไปเลี้ยงบริเวณหน้าอกมากขึ้นทำให้รู้สึกเจ็บ รวมถึงการรู้สึกว่าหน้าอกไวต่อการสัมผัส จะลักษณะคล้ายกับอาการเจ็บหน้าช่วงก่อนมีประจำเดือนนั่นเอง

6.รู้สึกเหนื่อย / ง่วง
          ในระยะที่เริ่มมีการตั้งครรภ์ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะมีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้รู้สึกเหนื่อยมากๆ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลย หรือรู้สึกง่วงนอนตลอดทั้งวัน แต่ไม่ต้องรู้สึกกังวลกับอาการคนท้องลักษณะนี้ เพราะในช่วงที่สองของการตั้งครรภ์พลังของคุณแม่ก็จะกลับคืนมา

7.มีเลือดออกจากช่องคลอด
          ในช่วงกำลังฝังตัวของตัวอ่อนในมดลูก ว่าที่คุณแม่บางท่านอาจจะมีอาการคนท้องในลักษณะที่ว่า เลือดไหลออกมาจากทางช่องคลอด โดยอาการนี้มักเกิดขึ้นหลังจากที่ตัวอ่อนปฏิสนธิได้ประมาณ 11-12 วัน (ช่วงเวลาที่เริ่มสังเกตว่าประจำเดือนไม่มา) เลือดที่ไหลออกมามักจะเป็นเลือดจางสีแดงหรือชมพู และจะหยุดไหลเองภายใน 1-2 วัน แต่อย่างไรก็ตาม หากคุณแม่รู้ว่ากำลังตั้งครรภ์แล้ว และพบว่าตนเองมีอาการเลือดไหลออกมาจากทางช่องคลอดรวมถึงมีอาการปวดท้องด้วย ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะนั่นอาจจะเป็นสัญญาณเตือนของการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้

8.หน้าท้องป่อง
        อย่าเพิ่งตกใจ ถ้าหากหน้าท้องของคุณที่ป่องออกมานิดๆหน่อยๆ หรือรู้สึกว่าเอวกางเกงตัวโปรดเริ่มคับขึ้นมา เพราะมีก๊าซในกระเพาะมากขึ้นเท่านั้นเอง

ขอขอบคุณที่มาจาก : สนุก.คอม

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เทรนด์อาหารคนท้องมาแรงปี 2015 ห้ามพลาด !!

4 อาหารคนท้อง เทรนด์ใหม่มาแรงในปี 2015

อาหารคนท้อง

          สาวๆที่กำลังตั้งครรภ์และกำลังมองหาอาหารคนท้องที่ทำได้ง่าย รวดเร็ว ไม่ต้องเตรียมของอะไรให้เยอะแยะวุ่นวาย แต่ได้รับสารอาหารครบถ้วน เพื่อตัวคุณแม่เองและเจ้าตัวน้อยในครรภ์ และ ณ ตอนนี้ว่าที่คุณแม่ทั้งหลายไม่ต้องคิดให้วุ่นวายอีกแล้วค่ะ เพราะเทรนด์อาหารที่กำลังมาแรงสำหรับคนท้องในปี 2015 นี้ บอกเลยว่าที่คุณแม่พลาดไม่ได้เลยเชียวล่ะ



1. อาหารคนท้องแบบเดลิเวอรี่ จัดส่งถึงที่ รวดเร็วทันใจ
สมัยนี้ใครๆก็ซื้อของกันผ่านโลกออนไลน์กันจนเป็นเทรนด์ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่จะมีธุรกิจจัดส่งอาหารในรูปแบบต่างๆเกิดขึ้นมากมาย และยังสามารถจัดส่งอาหารอย่างรวดเร็วภายใน 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง และยังเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนอีกด้วย ว่าที่คุณแม่จึงไม่ควรพลาดนะคะ ศึกษาหาข้อมูลแล้วสั่งมากินกันเลยค่ะ จะได้ไม่เหนื่อยกับการเตรียมของให้วุ่นวายเพื่อทำอาหารคนท้องทานเองนะคะ

2. อาหารคนท้องที่ทำได้ง่ายๆด้วยไมโครเวฟ
ใจเย็นๆก่อนนะคะสาวๆ อย่าเพิ่งไปนึกถึงอาหารแช่แข็งค่ะ เพราะอาหารที่ทำให้สุกโดยการเวฟนั้น คุณสาวๆสามารถจัดเตรียมไว้ก่อนได้ แล้วค่อยนำไปอบหรือนำไปทำให้สุกโดยไมโครเวฟ เช่น สเต็ก ไส้กรอก อกไก่ เป็นต้น และทานคู่กับผักสด หรือผักที่ต้มจากไมโครเวฟก็ได้ ทำอาหารคนท้องในลักษณะนี้ก็สามารถได้สารอาหารครบถ้วนเหมือนกันนะคะ แถมยังใช้เวลาเพียงไม่นานด้วยค่ะ พลาดไม่ได้แล้วนะคะว่าที่คุณแม่ทั้งหลาย

3. คนท้องต้องทาน อาหารว่างแบบเน้นสุขภาพ
คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์นั้น ควรแบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็กๆ มีการทานอาหารว่างระหว่างวันด้วย เช่น ธัญพืชต่างๆ  เมล็ดทานตะวัน ช็อคโกแลต หรือข้าวโพดคั่ว ซึ่งอาหารพวกนี้ไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไรเพื่อปรุงเอง เพียงแค่หาซื้อตามร้านสะดวกซื้อติดบ้านไว้ อยากทานเมื่อไหร่ก็หยิบมาทานได้เลยค่ะ

4. สรรหาเมนูและวิธีการปรุงอาหารคนท้องแบบใหม่ๆได้จากอินเตอร์เน็ต
คุณสาวๆว่าที่คุณแม่ สามารถดูเมนูอาหารใหม่ๆ หรือ เตรียมวัตถุดิบเพื่อนำมาทำอาหารทานเองได้จากในอินเตอร์เน็ต ซึ่งว่าที่คุณแม่แทบจะไม่ต้องคิดเลยว่าจะทำอะไรทาน เพียงแค่เข้าไปค้นหาอาหารสำหรับคนท้อง ก็จะเจอเมนูต่างๆมากมายที่มีประโยชน์ พร้อมกับการเตรียมเครื่องปรุงและวิธีทำมาให้คุณแม่อย่างละเอียดและสามารถทำตามได้ง่ายๆเลยค่ะ

ง่ายมากๆเลยใช่ไหมคะ สำหรับการเตรียมอาหารคนท้องในสมัยนี้ แถมอาหารที่สรรหารมาเลือกทานยังมีคุณค่าและสารอาหารครบถ้วนเหมาะสมกับคนท้องอีกด้วยค่ะ คุณแม่ยุคใหม่ต้องทันสมัยและใส่ใจในสุขภาพกันนะคะ


ขอบคุณที่มา : women.sanook.com

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

นมแม่ สู่เมนูลูกน้อย

นมแม่ สู่เมนูลูกน้อย

นมแม่ ทำอะไรให้ลูกน้อยทานได้บ้าง ?

          ในการรับประทานอาหารคนท้องนั้น เราควรให้ความสำคัญกับน้ำนมของคุณแม่ ทานอาหารที่บำรุงน้ำนม เพราะว่าน้ำนมของคุณแม่สามารถนำมาทำเป็นเมนูอาหารสำหรับลูกน้อยเบบี๋ได้ด้วยนะคะ

อาหารคนท้อง


ส่วนนมแม่จะนำไปทำเป็นเมนูอะไรได้บ้าง ไปดูกันเล้ยยยย

- ข้าวตุ๋นนมแม่
          วิธีทำก็คือตุ๋นข้าวให้นิ่มก่อน แล้วพักไว้ให้ข้าวหายร้อนแล้วค่อยผสมน้ำนมแม่คนให้เข้ากัน คล้ายๆ โจ๊กนั่นเอง สามารถเพิ่มสารอาหารด้วยการเติม ไข่ เต้าหู้ หรือตุ๋นข้าวพร้อมกับผักเลยก็ได้ค่ะ

- ซุปผักนมแม่
          วิธีทำก็ง่ายๆค่ะ นำผักที่ต้องการมาต้มสุกและบดให้ละเอียด (หรือจะนำไปปั่นก็ได้) แล้วละลายเนยให้หอม นำผักที่เตรียมไว้ใส่ลงไป ตั้งไฟให้อ่อนๆ เติมน้ำซุป ผสมแป้งข้าวโพดลงไปเพื่อเพิ่มความเหนียวข้น ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย พักไว้รอให้หายร้อนแล้วเติมน้ำนมแม่ลงไปผสมก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ให้เจ้าตัวน้อยหม่ำๆได้เลยค่ะ

- ไอศกรีมน้ำผลไม้
          คั้นน้ำผลไม้ที่ต้องการแล้วผสมน้ำนมแม่ลงไปด้วย จากนั้นนำมาหยอดลงพิมพ์ที่จะแช่เย็น ให้เจ้าตัวน้อยทานระหว่างมื้อหรือช่วงที่ลูกมีฟันกำลังจะขึ้นก็สามารถช่วยลดอาหารคันเหงือกได้นะคะ หรือจะคุณแม่จะดัดแปลงทำเป็นเมนูสมูตตี้สูตรคุณแม่เองก็ได้ค่ะ

- เตรียมน้ำนมแม่
          เพื่อเป็นการเพิ่มและบำรุงน้ำนมแม่ ให้ผลิตออกมาได้ดีและมีคุณภาพ แนะนำให้คุณแม่ควรเลือกทานอาหารที่ช่วยเรื่องนี้ เช่น แกงเลียงผักรวม ไก่ผัดขิง มันต้มน้ำขิง เป็นต้น วิธีง่ายๆ ที่แม่ก็ได้ประโยชน์ ลูกก็ได้ประโยชน์

คลิ๊กดู **อาหารคนท้อง**

- สารอาหารจะหายไปไหม?
          คุณแม่อาจจะสงสัยว่า สารอาหารดีๆ ในน้ำนมแม่จะหายไปไหมเมื่อนำมาทำอาหาร คุณค่าอาหารจะไม่สูญหายไปเลยค่ะ แค่คุณแม่ต้องไม่ใช้ความร้อนในการปรุงอาหาร และที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษก็คือ เรื่องของความสะอาด ระยะเวลาในการเก็บรักษาน้ำนมแม่ เพราะถ้าหากเก็บรักษาและปรุงไม่ถูกวิธี เจ้าตัวน้อยก็มีสิทธิ์ท้องเสียได้นะคะ

ขอบคุณที่มา : sanook.com
คุณแม่สามารถติดตามเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่ >> http://women.sanook.com/mom-baby/

วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

อาการตั้งครรภ์ ไม่ใช่แค่แพ้ท้อง !!

อาการตั้งครรภ์ ไม่ใช่แค่แพ้ท้อง !!

อาการตั้งครรภ์

          สำหรับสาวๆที่คิดว่าการตั้งครรภ์นั้นมักจะมีการขาดประจำเดือนมาก่อน และตามด้วยอาการตั้งครรภ์อื่นๆ อาการของคนตั้งครรภ์แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน มากบ้างน้อยบ้าง ไม่จำเป็นต้องมีครบทุกอาการ และอาการที่พบบ่อยได้แก่

การตั้งครรภ์



อาการตั้งครรภ์ทั่วไป คือ ขาดประจำเดือน
          ส่วนใหญ่เกือบทั้งร้อยจะสงสัยว่าตัวเองตั้งครรภ์ก็ต่อเมื่อประจำเดือนไม่มา หรือประจำเดือนเลื่อนออกไป บางท่านอาจจะมีเลือกออกกระปริดกระปอยในช่วงที่ตัวอ่อนฝังตัวที่ผนังมดลูก แต่เลือดจะออกไม่มากเหมือนตอนมีประจำเดือน แต่สำหรับท่านที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ท่านอาจจะมีการตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัว คงต้องอาศัยการสังเกตอาการตั้งครรภ์อื่นๆร่วมด้วย

**หากยังไม่มั่นใจว่าท้องรึเปล่า ไปเช็ค >> คลิ๊ก !!

อาการแพ้ท้อง
          อาการคลื่นไส้อาเจียนหรือที่เรียกว่าอาการแพ้ท้อง เป็นอาการตั้งครรภ์อีกอย่างหนึ่งที่มักเกิดในระยะแรกของการตั้งครรภ์ โดยมากจะเกิดในช่วง 2-8 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ พอเข้าสู่ไตรมาสสองอาการแพ้ท้องจะหายไป บางท่านอาจจะแพ้กลิ่นหรืออาหารบางประเภท เชื่อว่าอาการแพ้ท้องเกิดจากการที่ร่างกายของผู้หญิงที่มีการตั้งครรภ์ มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง จึงทำให้กระเพาะอาหารมีการบีบตัวน้อยลง อาการของอาการแพ้ท้องมีอะไรบ้าง

- คลื่นไส้อาเจียนหลังจากดื่มน้ำหรือรับประทานอาหาร
- น้ำหนักลด
- ขาดน้ำ
- ปัสสาวะสีเข้ม
- เกลือแร่ในร่างกายอาจผิดปกติ

การดูแลตัวเองกรณีที่มีอาการไม่มาก

- รับประทานอาหารว่างที่มีโปรตีนสูง
- งดอาหารที่มีไขมันหรือใยอาหารสูงรับประทานอาหารที่มีแป้งสูง
- ให้รับประทานอาหารครั้งละน้อยๆแต่บ่อยๆ
- ให้รับประทานอาหารบนเตียงตอนตื่นนอนเนื่องจากการเคลื่อนไหวจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน
- เลือกรับประทานอาหารที่มีรสชาติดีหน่อย
- อย่าให้ท้องว่างเพราะท้องว่างจะทำให้เกิดคลื่นไส้อาเจียน
- หลีกเลี่ยงกลิ่นฉุนๆ
- งดดื่นน้ำผลไม้ กาแฟ แอลกอฮอล์ระหว่างรับประทานอาหาร
- ดื่มน้ำขิงอาจจะบรรเทาอาการ

ถ้ามีอาการแพ้ท้องมากๆน้ำหนักตัวจะลดลงมาก
- แพทย์จะให้ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน
- ให้น้ำเกลือเพื่อแก้คลื่นไส้อาเจียน

อาการตั้งครรภ์จะส่งผลให้มี การเปลี่ยนแปลงทางเต้านม

คัดเต้านม
          อาการคัดเต้านมเป็นอาการตั้งครรภ์อีกอย่างนึงที่จะเหมือนกับอาการแน่แน่นเต้านมช่วงก่อนมีประจำเดือน แต่อาการจะมากกว่าและไม่ลดลง มักจะเกิดหลังจากที่ไข่ได้ผสมกับตัวเชื้อแล้วประมาณสองสัปดาห์

ไตรมาสแรก
หลังการตั้งครรภ์ได้ 6-8 สัปดาห์ เต้านมจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง คุณแม่จะรู้สึกว่าเต้านมใหญ่ขึ้น กดจะเจ็บเนื่องจากมีการเจริญเติบโตของไขมันและต่อมน้ำนม เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงขยายใหญ่ขึ้นจนสังเกตเห็นได้ ควรเลือกขนาดของชุดชั้นในให้เหมาะสม หัวนมและฐานหัวนมจะดำขึ้น

ไตรมาสสอง
ขนาดของเต้านมจะใหญ่ขึ้นและมีการเริ่มสร้าง colustrum ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกิดกับทุกคนแรกๆจะมีลักษณะเหนียวข้นต่อมาจะมีลักษณะเหลวใส ของเหลวนี้จะหลังเมื่อมีการบีบหรือมีความตื่นเต้นทางเพศ
**คุณแม่ต้องสังเกตว่าหัวนมโผล่หรือไม่ ถ้าไม่โผล่ต้องปรึกษาแพทย์

อาการปวดหลัง
อาการปวดหลังเป็นอาการคนท้องที่พบได้บ่อย เกิดได้ตั้งแต่เดือนแรกจนใกล้คลอด สาเหตุเกิดจากมดลูกที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีน้ำหนักมากขึ้นทำให้หลังต้องแบกน้ำหนักเพิ่มขึ้นซึ่งมีวิธีป้องกันดังนี้

- อย่าใส่รองเท้าส้นสูงให้ใส่รองเท้าส้นเตี้ยๆ
- งดยกของหนัก
- ห้ามก้มยกของ
- อย่ายืนนาน ถ้าหากต้องยืนนานให้ยืนด้วยขาข้างเดียวสลับกันไป
- นั่งบนเก้าอี้ที่มีพนักพิงและให้หนุนหมอนใบเล็กๆที่หลัง
- จัดสิ่งแวดล้อมที่บ้านและที่ทำงานเพื่อจะได้ไม่ต้องงอหลัง
- ที่นอนต้องไม่แข็งเกินไป
- ให้นอนตะแคงซ้ายขาขวาก่ายหมอนข้าง
- ประคบร้อนบริเวณที่ปวด
- ออกกำลังบริหารกล้ามเนื้อ

ปัสสาวะบ่อย
ตั้งแต่เริ่มมีการตั้งครรภ์คุณแม่อาจจะมีความรู้สึกอยากปัสสาวะแม้ว่าจะเพิ่งไปปัสสาวะมาเนื่องจากมดลูกที่โตกดกระเพาะปัสสาวะ และฮอร์โมน human chorionic gonadotrophin (hCG) อาการปัสสาวะบ่อยจะดีขึ้นเมื่อมดลูกเจริญเข้าในครรภ์และจะเริ่มมีอาการอีกครั้งเมื่อเด็กใกล้คลอด เมื่อมีปัสสาวะเล็ดเวลาจามหรือไอให้บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน

อาการปวดท้องน้อย
เมื่อมดลูกใหญ่ขึ้นจะทำให้เอ็นทียึดมดลูกตึงตัว คุณแม่จะรู้สึกตึงหน้าท้องบางครั้งข้างเดียวบางครั้งสองข้างลักษณะจะปวดตึงๆมักจะเริ่มขณะอายุครรภ์ 18-24 สัปดาห์ การป้องกัน
- อย่าเปลี่ยนท่าอย่างรวดเร็ว
- เมื่อปวดท้องให้โน้มตัวมาท่งหน้า
- ให้นอนพักหรือเปลี่ยนท่าบ่อยๆจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด

อาการปวดศีรษะและอารมณ์แปรปรวน
เป็นอาการตั้งครรภ์ที่พบได้บ่อย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน ความถี่ของการปวด และความรุนแรงจะไม่เท่ากันในแต่ละคน บางคนอาจจะร้องไห้ บางคนก็ปวดศีรษะ สำหรับท่านที่รับประทานยาเป็นประจำโปรดปรึกษาแพทย์ เพราะยาบางประเภทไม่ควรจะรับประทานในคนท้อง โปรดปรึกษาแพทย์หากมีอาการดังต่อไปนี้

- ปวดไม่หาย
- ปวดบ่อย
- ปวดรุนแรงมาก
- ตาพร่ามัวหรือมองเป็นจุด
- ปวดศีรษะร่วมกับคลื่นไส้
- ริดสีดวงทวาร



อาการตั้งครรภ์

**อาการตั้งครรภ์อีกลักษณะหนึ่ง คือ การเป็นหลอดเลือดที่โป่งพอง มักจะพบในคนที่ท้องผูก หลังคลอดอาการท้องผูกจะดีขึ้น แนะนำป้องกันดังนี้

- หลีกเลี่ยงภาวะท้องผูก ทานอาหารที่มีกากใยเยอะๆ
- รับประทานอาหารที่มีใยมาก
- ดื่มน้ำมากๆ
- แช่ก้นในน้ำอุ่น
- ใช้ครีมทา

อาการจุกเสียดแน่นท้อง
ในระหว่างการตั้งครรภ์ คุณแม่อาจจะมีอาการจุกเสียดท้อง อาการจุกจะเริ่มจากกระเพาะไปสู่หลอดอาหารเกิดเนื่องจากมีกรดมาก อาหารย่อยช้าและมดลูกที่ดันกระเพาะปัจจัยต่างๆเหล่านี้จะทำให้แน่นท้อง 

วิธีป้องกันอาการแน่นท้อง

- รับประทานอาหารบ่อยๆเป็นวันละ 5-6 ครั้ง
- หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำระหว่างรับประทานอาหาร
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส และรสจัด
- งดสุราและบุหรี่
- งดอาหารก่อนออกกำลังกาย
อาการนอนไม่หลับ
มดลูกเริ่มโตขึ้นคุณแม่จะหาท่าสบายๆนอนยากเต็มแต่ก็มีเคล็ดในการนอนคือ
- ถ้านอนไม่หลับให้อาบน้ำอุ่นก่อนนอน
- ดื่มนมอุ่นๆสักแก้วจะช่วยให้หลับดีขึ้น
- ให้นอนตะแคงข้างซ้ายมีหมอนหนุนท้องและขา
- นอนบนม้าโยก
- ตะคริว

คุณแม่เมื่อใกล้คลอดจะมีอาการตะคริวที่เท้าทั้งสองข้างโดยมากมักจะเป็นขณะนอน มีวิธีป้องกันดังนี้

- ให้เหยียดขาก่อนนอน
- ขณะเหยียดห้ามชี้นิ้วเท้าให้ดึงข้อเท้าเข้าหาตัว
- ประคบอุ่นที่น่อง
- นวดน่อง
- ดื่มน้ำมากๆ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์หรือกาแฟ
- ให้รับประทานอาหารที่มีแคลเซียม

อาการเหนื่อยหอบ
เป็นอาการตั้งครรภ์ ที่พบเมื่ออายุครรภ์ได้ 31-34 สัปดาห์มดลูกใหญ่ขึ้นจนดันกำบังลมทำให้รู้สึกหายใจไม่อิ่ม คุณแม่ไม่ต้องกังวลกับอาการตั้งครรภ์ลักษณะนี้ ว่าลูกจะได้ oxygen เพียงพอหรือไม่เด็กยังคงได้รับ oxygen อย่างเพียงพอ เมื่อใกล้คลอดอายุครรภ์ 36-38 สัปดาห์จะเริ่มหายใจสะดวกขึ้นเนื่องจากเด็กเคลื่อนตัวลงช่องเชิงกราน 

วิธีป้องกันไม่ให้เหนื่อย
- ขยับตัวช้าๆเพื่อไม่ให้ปอดและหัวใจทำงานหนัก
- นั่งตัวตรงเพื่อเพิ่มเนื้อที่ปอด
- ให้นอนหัวสูง

การเปลี่ยนผิวหนังในคนท้อง
อาการตั้งครรภ์ลักษณะนี้ เกิดจากมีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังที่พบบ่อยๆคือ

- จะเกิดฝ้าขึ้นโดยเฉพาะบริเวณที่เจอแดดดังนั้นควรทาครีมกันแดด
- จะเกิดรอยดำเป็นเส้นบริเวณหัวเหน่า หลังคลอดรอยดำจะหายไป
- รอยแนวสีชมพูบริเวณหน้าท้อง ที่เรียกว่าท้องลายเป็นการขยายของหน้าท้องเพื่อการเจริญเติบโตของเด็ก ไม่มีทางป้องกัน รอยนี้จะค่อยๆจางหายไปหลังคลอด
- จะเห็นเส้นเลือดบริเวณหน้าอกขยาย ผิวบริเวณผ่ามือจะแดง อาการทั้งสองเป็นผลจากฮอร์โมน
- อาจจะเกิดสิวขึ้นให้ล้างหน้าวันละหลายครั้ง ห้ามใช้ tetracyclin และRoaccutane


อ่านเรื่องอื่นเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ได้ที่ >> http://women.sanook.com/mom-baby/pregnancy/

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

อาหารคนท้อง ที่ห้ามทาน !!

อาหารคนท้อง ที่ไม่ควรทาน !!

อาหารคนท้อง

          มีมากมายหลายคำแนะนำสำหรับอาหารคนท้อง ทั้งที่ควรทานและไม่ควร บางอย่างตอนยังไม่ท้องทานได้ แต่พอท้องทำไมกลับทานไม่ได้ โดยสรุปก็คือ เมื่อร่างกายของคุณเปลี่ยน ระบบภูมิคุ้มกันของคุณก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย ทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆได้ง่ายขึ้น อาหารคนท้องบางอย่างที่คุณคิดว่าดีอาจจะไม่ดีกับคุณก็เป็นได้

          เราจึงควรรับประทานอาหารคนท้องให้เหมาะสมสำหรับการตั้งครรภ์ เพราะอาหารที่คุณชอบทานนั้นไม่ได้มีฉลากเตือนให้คุณระวังเหมือนอย่างบุหรี่ สุรา ในอาหารคนท้องบางอย่างที่คุณคิดว่าปลอดภัยอาจส่งผลกับลูกในระยะยาวก็เป็นได้

          ในปัจจุบันเราได้รับสารพิษจากอาหารเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว แต่เมื่อคุณมีการตั้งครรภ์ คุณต้องระวังในเรื่องของอาหารคนท้องให้มากขึ้นนะคะคุณแม่ ^^


          เทอราโทเจน (Teratogen) เป็นสารพิษที่เป็นอันตรายต่อทารก งานวิจัยของรัฐแคลิฟอร์เนียที่สหรัซอเมริกา ศึกษาเกี่ยวกับสารพิษตกค้างในอาหารและระบุว่า เทอราโทเจน มีภัยร้ายซ่อนอยู่ในอาหารทั่วไป ซึ่งไม่ใช่อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพแต่สามารถก่อให้เกิดอันตรายได้กับเจ้าตัวน้อยได้นะคะ
อาหารคนท้อง อะไรบ้างที่ไม่ควรทาน

ปลา
         ถึงแม้ว่าปลานั้นจะเป็นอาหารเพื่อสุขภาพก็จริงอยู่ แต่ปลาบางชนิดคุณแม่ควรทานในปริมาณที่เหมาะสม ปลาบางชนิดก็ควรหลีกเลี่ยง เช่น ปลาทูน่า ปลาชนิดนี้จะมีเมทิลเมอร์คิวรี่ (Methylmercury) หรือที่เรียกว่าสารปรอทค่อนข้างเยอะ นอกเหนือจากนี้ยังมีปลาอื่นๆอีกที่ต้องระวัง อาทิเช่น แซลมอนที่เลี่ยงในฟาร์ม เพราะว่า มันมีโพลีคลอริเนตไบฟีนิล (polycholorinated biphenyls) ซึ่งเป็นสารอินทรีย์ที่มีคลอรีนเป็นส่วนประกอบหลัก ส่งผลให้เจ้าตัวน้อยมีน้ำหนักตัวในตอนแรกเกิดน้อย และปลาจำพวก ฉลาม ปลาดาบ ปลาปากนก พวกนี้มีสารปรอทสูง ควรหลีกเลี่ยง รวมไปถึง ปลาดิบหรือพวกอาหารทะเลสด เนื่องจากอาจจะมีจุลินทรีย์ พยาธิ และไวรัสนั่นเอง

อาหารกระป๋อง
          คุณค่าทางโภชนาการของอาหารแปรรูปนั้นเทียบไม่ได้กับอาหารที่ปรุงสดใหม่แน่นอน ในกรณีของอาหารกระป๋อง เราจะต้องพิจารณาไปถึงพลาสติกที่รองกระป๋องด้านในเป็นพลาสติกชนิดไร้สารเคมีที่เรียกว่า BPA หรือเปล่า เนื่องจากสารพิษในพลาสติกสามารถปนเปื้อนมาในอาหารที่บรรจุมาในกระป๋อง

น้ำประปาที่มาจากก๊อกน้ำ
          ในน้ำประปานั้นมีสารตกค้าง มีการตรวจพบมลพิษในแหล่งจ่ายน้ำซึ่งมลพิษเหล่านั้นจะสามารถส่งผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลางและอาจทำให้น้ำหนักตอนแรกคลอดของทารกน้อยด้วย ความเสี่ยงเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ ถ้าหากแหล่งน้ำมีการปนเปื้อนสูง

คาเฟอีน
          การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน จะมีส่งผลเชื่อมโยงกับการตายคลอดของทารกในครรภ์ หรือตายขณะอยู่ในครรภ์นั่นเอง

          การตั้งครรภ์เป็นเรื่องทีทำให้คุณกังวลมากพออยู่แล้ว อาหารก็ไม่ควรเพิ่มความเครียดให้คุณขณะตั้งครรภ์ ในสมัยก่อนดูเหมือนว่าจะทานอะไรก็ได้ ไม่มีข้อห้ามมากมายเช่นปัจจุบัน แต่สารพิษตกค้างนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ ทางที่ดีควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม

          โภชนาการระหว่างการตั้งครรภ์ที่คุณควรคำนึงถึงประกอบด้วยธาตุเหล็ก แคลเซียม กรดโฟลิค น้ำมันตับปลา ปลาดูเหมือนจะเป็นแหล่งของน้ำมันตับปลา แต่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าไม่ควรทานปลาขนาดเท่าสเต็กปลาเกิน 2 ชิ้นต่อสัปดาห์ ซูชิเป็นอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเนื่องจากประกอบไปด้วยปลาดิบและเนื้อที่ปรุงไม่สุกอย่างเห็นได้ชัดเจน

ขอบคุณที่มา : SANOOK
มีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมายมาย คลิ๊ก !!

เตรียมพร้อมสำหรับ "การตั้งครรภ์" ที่สมบูรณ์

เตรียมพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์

เตรียมตัวเพื่อการตั้งครรภ์


          ไม่ใช่แค่ในช่วงของการตั้งครรภ์เท่านั้นนะคะที่คุณแม่จะต้องดูแลตัวเอง แต่ควรจะเริ่มมาตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนจะมีการตั้งครรภ์ เพื่อให้เจ้าตัวน้อยนั้นสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ และเพื่อสุขภาพครรภ์ที่สมบูรณ์ด้วยค่ะ ส่วนจะทำได้อย่างไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลยย ^^

การตั้งครรภ์


พบคุณหมอเพื่อวางแผนการตั้งครรภ์
          ก่อนที่จะมีการตั้งครรภ์นั้นคุณหมอแนะนำให้ทั้งคุณพ่อคุณแม่มีความพร้อมทั้งคู่ หรือตกลงกันว่าอยากมีลูกจริงๆ ไม่ใช่เพียงคนใดคนหนึ่ง เพราะจะเป็นความรู้สึกที่เป็นศูนย์ หลังจากตกลงกันแล้ว แนะนำให้ไปพบคุณหมอที่จะทำการฝากครรภ์ด้วยหรือคุณหมอสูติทั่วไป เพื่อตรวจร่างกายทั้งคุณพ่อและคุณแม่ คุณหมอจะทำการตรวจว่าทั้งคู่นั้นมีข้อจำกัดในการตั้งครรภ์หรือเปล่า มีโรคทางพันธุกรรมที่เป็นอันตรายต่อทารกที่กำลังจะเกิดหรือไม่ เช่น โรคทาลัสซีเมีย โรคเลือดเป็นต้น เพื่อทำการรักษาก่อนจะมีการตั้งครรภ์ และวางแผนการตั้งครรภ์ต่อไป

การฉีดวัคซีนหรือยาที่ควรหยุดใช้ก่อนจะมีการตั้งครรภ์
          เมื่อมีการเตรียมพร้อมที่จะตั้งครรภ์แล้ว ให้คุณแม่หยุดทานยาคุมกำเนิด ยาปฏิชีวนะต่างๆ ยาเบาหวาน และโดยเฉพาะยารักษาสิว ถ้าหากตั้งครรภ์ได้ประมาณ 3 เดือนแล้ว จะต้องมีการทำให้แท้ง  เพราะผลของยาจะทำให้เด็กพิการ และถ้าต้องมีการฉีดวัคซีนหัดเยอรมันหรือไวรัสตับอักเสบบี แนะนำให้ฉีดให้เรียบร้อยก่อนจะปล่อยให้มีการตั้งครรภ์ สำหรับไวรัสตับอักเสบบีนั้นสามารถฉีดเมื่อไหร่ก็ได้ แต่หัดเยอรมันควรตรวจดูก่อนว่ามีภูมิหรือไม่ ถ้าต้องฉีดแนะนำให้ฉีดก่อน 3 เดือนก่อนจะมีการตั้งครรภ์จะปลอดภัยที่สุด 

ควรรู้วงจรการตกไข่
          หากคุณสาวๆอยากมีลูก ก็ควรที่จะรู้วงจรของการตกไข่ โดย นับจากวันแรกที่ประจำเดือนมา ให้นับๆป 14 วัน เฉลี่ยโดนทั่วไปถ้าประจำเดือนมาในรอบ 28 วัน แนะนำให้กุ๊กกิ๊กกับคุณสามีในช่วงนั้น โอกาสที่จะมีการตั้งครรภ์ก็จะมีมากขึ้น พยายามทำแบบนี้อยู่ประมาณ 3 รอบเดือน ก็อาจจะทำให้มีการครรภ์ได้ไม่ยากค่ะ แต่หากพยายามมาแล้วเป็นปี แล้วยังไม่เกิดการตั้งครรภ์นั้น แนะนำให้พบคุณหมอเพื่อปรึกษาเป็นกรณีไปค่ะ

ฮอร์โมนและความเครียด มีผลต่อสภาวะจิตใจ
          ในระหว่างการตั้งครรภ์คุณแม่อาจมีอาการซึมเศร้าเป็นผลมาจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไป หรืออาจะเป็นผลจากความกังวลในรูปร่างที่เปลี่ยนไปเลยทำให้เกิดภาวะซึมเศร้ากลัวสามีจะเปลี่ยน ดังนั้นทั้งคุณพ่อและคุณแม่ควรจะตกลงทำความเข้าใจกันก่อนที่จะปล่อยให้มีการตั้งครรภ์ เพื่อไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งซึ่งจะส่งผลไปถึงเจ้าตัวน้อยในครรภ์ได้

คุณพ่อก็ต้องเตรียมพร้อม 
          คุณพ่อควรจะไปตรวจร่างกายพร้อมกับคุณแม่ตั้งแต่ก่อนวางแผนจะมีการตั้งครรภ์ เพื่อตรวจดูว่าเชื้อนั้นมีจำนวนเพียงพอและแข็งแรงหรือเปล่า บางคนร่างกายแข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอแต่เชื้อไม่แข็งแรงก็มี เพราะฉะนั้นอย่ามั่นใจมากเกินไป แนะนำให้คุณพ่องดแอลกอฮอล์และสารเสพติดทั้งหลาย ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เช่นเดียวกับคุณแม่ เพื่อการตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์ค่ะ

          อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญเช่นกันคือเรื่องของช่วงอายุที่จะมีการตั้งครรภ์ค่ะ อายุที่เหมาะสมในการจะมีการตั้งครรภ์ที่สุดก็คือ 25 – 35 ปี หากคุณแม่อายุเกิน 35 ปี ให้ทำใจไว้ก่อนเลยว่า หากมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นจะต้องเจาะน้ำคร่ำไปตรวจหาสารชีวเคมีในเลือด ที่อาจจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น เบาหวาน ความดัน หรือครรภ์เป็นพิษ ดังนั้นควรปรึกษาคุณหมอว่าคุณจะเจอกับภาวะเสี่ยงอะไรบ้าง เพื่อรับคำแนะนำที่ดีในการเตรียมพร้อมกับการตั้งครรภ์ต่อไปค่ะ 

ขอบคุณที่มา : http://women.sanook.com/11658/
อ่านเรื่องอื่นเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ต่อได้ที่ : http://women.sanook.com/mom-baby/

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

คุณมี "อาการคนท้อง" เหล่านี้หรือไม่ ?

สัญญาณเตือนข่าวดี “อาการคนท้อง”

อาการคนท้อง


          สาวๆที่กำลังอยากมีลูกอยู่นั้นอาจกำลังเข้าใจว่า อาการคนท้องนั้นมีแค่คลื่นไส้อาเจียน แต่จริงๆแล้วยังมีอาการคนท้องอีกหลายอย่างที่เป็นสัญญาณเตือนเราว่า เจ้าตัวน้อยกำลังจะมาแล้วนะจ๊ะ ให้ว่าที่คุณแม่เตรียมตัวดูแลตัวเองและดูแลเจ้าตัวน้อยกันได้เลยค่ะ และจะอาการคนท้องอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลยยยย ^^

อาการคนท้อง


1.รู้สึกเหนื่อยล้า
          คุณอาจจะรู้สึกเหนื่อยมากๆ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลยหรือเปล่า รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนตลอดทั้งวันใช่ไหม นี่อาจจะเป็นผลมาจากระดับปริมาณของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็ได้นะ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก พอเข้าช่วงไตรมาสสองของการตั้งครรภ์ เรี่ยวแรงของคุณก็จะคืนกลับมาเอง

2.เริ่มเหม็นกลิ่นต่างๆ
         เป็นผลมาจากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้นของผู้หญิงที่อยู่ในช่วงมีการตั้งครรภ์ อาจทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์กลายเป็นคนจมูกไว ได้กลิ่นอะไรก็พาลเหม็นจนอยากอาเจียนไปหมด ในตอนนี้กลิ่นอาหารที่เคยชอบทาน กลิ่นน้ำหอมที่ใช้ก็อาจจะพาลเหม็นได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยค่ะ

3.รู้สึกว่าเจ็บหน้าอกหรือหน้าอกบวม
          หน้าอกของว่าที่คุณแม่ในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ อาจจะมีอาการบวมเพราะมีเลือดไปเลี้ยงบริเวณนั้นมากขึ้นจนทำให้รู้สึกเจ็บ รวมถึงรู้สึกว่าหน้าอกไวต่อสัมผัสคล้ายๆกับอาการในช่วงก่อนมีประจำเดือนเลยค่ะ

4.มีอาการอาเจียน คลื่นไส้
          เป็นอาการคนท้องที่พบบ่อยมากจนเป็นสัญลักษณ์ของการตั้งครรภ์ไปแล้วก็ว่าได้ อาการคลื่นไส้อาเจียนมักเกิดขึ้นหลังจากที่ตัวอ่อนมีการปฏิสนธิได้ 1 เดือน และลดลงเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ แต่ก็ไม่เสมอไป คุณแม่บางคนอาจมีอาการแพ้ท้องเร็วกว่ากำหนด ขณะที่บางคนโชคดีไม่มีอาการแพ้ท้องเลย หรือไม่บางคนก็โชคร้ายหน่อย แพ้ท้องไปจนถึงเดือนสุดท้ายก่อนคลอดเลยก็มี

5.ประจำเดือนไม่มา
          ประจำเดือนขาดก็เป็นอันหนึ่งอาการคนท้องที่สังเกตได้ง่ายที่สุด ถ้าประจำเดือนที่เคยมาเป็นปกติขาดหายไป รอแล้วรอเล่าไม่มาสักที แสดงว่าคุณอาจจะกำลังมีการตั้งครรภ์ เพราะหลังจากการปฏิสนธิแล้ว ประจำเดือนจะขาดหายไป แนะนำให้ไปซื้อเครื่องตรวจการตั้งครรภ์มาตรวจกันได้เลยนะคะ

6.ปวดฉี่บ่อย
          อาการปวดปัสสาวะบ่อยเป็นอาการคนท้องปกติของคุณแม่ที่เริ่มมีการตั้งครรภ์ เพราะร่างกายจะผลิตเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆมากขึ้น ทำให้ไตขับของเสียในรูปของของเหลวมากขึ้นตามไปด้วย เลยทำให้คุณแม่ปัสสาวะบ่อยนั่นเอง

7.ท้องผูก
          อาการคนท้องลักษณะนี้ มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อมีการตั้งครรภ์ ทำให้การบีบตัวของลำไส้ลดลง มดลูกอาจไปทับลำไส้ใหญ่ การแก้ไขเรื่องท้องผูกในอาการคนท้องลักษณะนี้คือพยายามทานอาหารที่มีกากใยเยอะๆ ดื่มน้ำมากๆ และออกกำลังเบาๆให้พอเหมาะ จะช่วยแก้ไขอาการท้อผูกได้

8.หน้าท้องป่อง
          คุณแม่อย่าเพิ่งตกใจกับอาการคนท้องลักษณะนี้นะคะ คุณแม่ยังไม่เป็นคุณแม่ท้องกลมตั้งแต่ไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์หรอกค่ะ หน้าท้องที่เคยแบนราบแค่ป่องออกมานิดๆหน่อยๆ หรือรู้สึกว่าเอวกางเกงตัวโปรดมันเริ่มคับขึ้นมานิดหน่อย เพราะแค่มีก๊าซในกระเพาะมากขึ้นเท่านั้นเอง

9.มีเลือดออกจากช่องคลอด
          ระยะแรกเริ่มของการตั้งครรภ์ ช่วงที่ตัวอ่อนฝังตัวในมดลูก ว่าที่คุณแม่บางคนอาจมีเลือดไหลออกมาทางช่องคลอด อาการคนท้องในลักษณะนี้มักเกิดขึ้นหลังจากตัวอ่อนปฏิสนธิได้11-12 วัน (เวลาเดียวกับที่คุณเริ่มสังเกตว่าประจำเดือนขาด) เลือดที่ไหลออกมามักเป็นเลือดจางสีแดงหรือชมพู และจะหยุดไหลภายใน 1-2 วัน อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณแม่รู้ตัวว่ามีการตั้งครรภ์แล้ว และพบว่ามีเลือดไหลออกมาทางช่องคลอดร่วมกับอาการปวดท้อง ควรรีบไปพบคุณหมอ เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณของภาวะท้องนอกมดลูกได้

ขอบคุณที่มา : http://women.sanook.com/19029/
อ่านต่อเพิ่มเติม : http://women.sanook.com/mom-baby/

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ทุเรียน ! หนึ่งในอาหารคนท้องที่ต้องทาน

ทุเรียน ! หนึ่งในอาหารคนท้องที่ต้องทาน

อาหารคนท้อง : ทุเรียน



          เป็นเรื่องปกติของอาการคนท้อง ที่จะแพ้ท้องอยากทานนู่นทานนี่ แล้วถ้ายิ่งเป็นทุเรียนด้วยแล้วละก็ ทั้งกลิ่นที่มันช่างเตะจมูกเหลือเกิน ไหนจะรสชาติที่หอมหวานอีก มันช่างยั่วยวนชวนกินเป็นไหนๆ แต่คุณแม่ที่กำลังมีการตั้งครรภ์อยู่หลายๆคนอาจสงสัยว่า เอ๊ ตั้งครรภ์อยู่จะสามารถทานทุเรียนได้รึเปล่านะ ? วันนี้เราจะไขข้อข้องใจ แล้วก็นำประโยชน์ดีๆของเจ้าทุเรียนมาฝากกันค่ะ ไปติดตามกันเล้ยยย !!

อาหารคนท้อง


          ในผลไม้ไทยอย่าง ทุเรียน นั้น มี “โฟเลต” ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นต่อร่างกายและสามารถที่จะช่วยป้องกันความพิการ หยุดภาวะอัลไซเมอร์ ของทารกได้ดี อันที่จริงแล้วโฟเลตเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญกับคนทุกกลุ่มอายุ ตั้งแต่ก่อนจะมีการตั้งครรภ์ และยังเป็นอาหารคนท้องอีกด้วย ร่างกายของคุณแม่ก็ต้องการโฟเลตมาก ประโยชน์ของโฟเลตนั้นมีความสำคัญที่จะช่วยในการพัฒนาตัวอ่อนในระหว่างการพัฒนาในครรภ์ให้มีการเติบโต และยังสามารถลดภาวะการเกิดปากแหว่งเพดานโหว่ และกระดูกสันหลังไม่ปิดได้ ซึ่งโฟเลตนั้นจะมีการหลั่งสารซีโรโทนิน ซึ่งจะควบคุมการนอน ความอยากอาหาร ความหิว รวมไปถึงอาการซึมเศร้าต่างๆอีกด้วย

          แต่อย่างไรก็ตามในการทานทุเรียนเป็นอาหารคนท้องนั้น ควรทานในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะว่าทุเรียนนั้นเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลและให้พลังงานสูงมาก ทุเรียนจัดเป็นแหล่งที่มีสารโฟเลตมากที่สุด คุณที่กำลังมีการตั้งครรภ์สามารถรับประทานได้เพียง 2 เม็ด ก็จะเท่ากับ ร้อยละ 50 ของปริมาณที่แนะนำต่อวันแล้วจะเท่ากับโฟเลตที่ควรได้รับต่อวันแล้ว สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวอยู่นั้นอาจจะลดลงมาเหลือแค่เพียง 1 เม็ดเท่านั้น อย่าทานแต่ทุเรียนเพียงอย่างเดียว ในอาหารคนท้องนั้นควรเน้นให้ในแต่ละมื้ออาหารมีความหลากหลาย สับเปลี่ยนกันไปหรือรับประทานอาหารหลายๆชนิด แต่ต้องอยู่ในปริมาณที่พอดี ไม่ทานอย่างใดอย่างหนึ่งมากไป จนเกินความต้องการของร่างกาย  และที่สำคัญควรรับประทานให้ครบ 5 หมู่ เพื่อพัฒนาการที่ดีของทารกในครรภ์ด้วย

ขอบคุณที่มา : http://women.sanook.com/39263/
อ่านเรื่องอื่นที่น่าสนใจต่อได้ที่ : http://women.sanook.com/mom-baby/

เมื่อมีการตั้งครรภ์ ร่างกายของคุณจะมหัศจรรย์มาก !

เมื่อมีการตั้งครรภ์ ร่างกายของคุณจะมหัศจรรย์มาก !

การตั้งครรภ์


          ในช่วงเริ่มมีการตั้งครรภ์ คุณอาจจะยังไม่รู้สึก แต่หากระยะเวลาของการตั้งครรภ์เพิ่มมากขึ้น คุณแม่จะได้สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในขณะตั้งครรภ์ว่าร่างกายของคุณแม่นั้นมีความสามารถเพียบเลย

การตั้งครรภ์


          หลายๆคนกังวลและมีทัศนคติในแง่ลบเกี่ยวกับรูปร่างในระหว่างที่มีการตั้งครรภ์ ทั้งความเหนื่อยล้า คลื่นไส้แพ้ท้อง และอื่นๆที่คุณแม่ต้องเผชิญในช่วงที่ตั้งครรภ์ แต่อย่าได้กังวลไปเลยค่ะ เพราะร่างกายของคุณแม่ในระหว่างตั้งครรภ์นั้นคือเครื่องจักรที่แสนมหัศจรรย์ และมีความสามารถมากกว่าที่คุณคิด ขอให้คุณแม่จงดีใจและเตรียมตัวต้อนรับเจ้าตัวน้อยกันนะคะ 


ร่างกายเรามหัศจรรย์อย่างไร เมื่อมีการตั้งครรภ์

- พลังงานสมองเพิ่มพูน
          การค้นคว้าจากอเมริกาพบว่า ความสามารถของสมองในส่วนความจำของแม่เพิ่มพูนมากขึ้น รวมทั้งประสาทสัมผัสที่ไวมากขึ้น ลองคิดเล่นๆว่า ว่าที่คุณแม่หลายคนตั้งครรภ์จนครบกำหนดโดยทำงานเต็มเวลา ดูแลบ้าน และดูแลลูกคนโตด้วย นักประสาทวิทยาเชื่อว่าฮอร์โมนตอนตั้งครรภ์โดยเฉพาะฮอร์โมนออกซิโทซิน ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นสมอง และที่น่าดีใจอย่างยิ่งก็คือความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจเกิดขึ้นถาวรเลยด้วย เย้ !

- ทำให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น
          ช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ปริมาณเลือดของคุณแม่จะเพิ่มมากขึ้นประมาณ 60 % เพื่อช่วยในการส่งออกซิเจนไปเลี้ยงที่มดลูก ปอดจะทำงานมากขึ้นเพื่อส่งออกซิเจน คนที่เคยกระปรี้กระเปร่ามาตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ต่างบอกว่าตัวเองรู้สึกฟิตมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าความกระปรี้กระเปร่านี้กินเวลาอยู่นาน 8 เดือนหลังคลอด 

- ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น
          การตั้งครรภ์นั้น นอกจากจะทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนพุ่งพรวดแล้วยังช่วยกระตุ้นฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน ซึ่งมีส่วนช่วยในการเพิ่มให้กล้ามเนื้อแข็งแรงอีกด้วย นอกเหนือไปจากการที่คุณกำลังแบกลูกในท้อง รก และน้ำคร่ำ ซึ่งทำให้การแบกท้องตอนตั้งครรภ์จัดเป็นการออกกำลังกายด้วยวิธีการยกน้ำหนักนั่นเอง


- คุณได้รับตัวกระตุ้นความงามแบบฟรีๆ
          เพราะว่าระดับฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเอสโตรเจนทำให้การผลิตน้ำมันช้าลงและยังช่วยหยุดการผมร่วง ดังนั้นเส้นผมของคุณแม่จะไม่ร่วงและดูหนาดกดำ เป็นประกายมากขึ้น อีกทั้งเล็บยังแข็งแรงขึ้นด้วย ส่วนผิวที่เคยเป็นสิว อาการก็จะทุเลาลงหลังจาก 3 เดือนของการตั้งครรภ์ไปแล้ว
คุณส่งผ่านอารมณ์ดีไปสู่ลูกได้ 
คุณสามารถทำให้ลูกรู้สึกมีความสุขได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ด้วยการยิ้มและรักษาระดับอารมณ์ให้ดีอยู่เสมอ การยิ้มช่วยหลั่งฮอร์โมนชนิดดีเข้าไปในกระแสเลือดโดยส่งผ่านสายรก ช่วยให้ลูกรู้สึกสงบและผ่อนคลาย

- มดลูกคุณขยายขึ้น 5 ร้อยเท่ากว่าขนาดปกติ
          ก่อนจะมีการตั้งครรภ์มดลูกของคุณมีขนาดเท่าประมานผลลูกแพร์ แต่เมื่อการตั้งครรภ์ผ่านไป 40 สัปดาห์ ท้องของคุณจะขยายใหญ่ขึ้นมากเลยทีเดียว

- คุณจะบรรลุจุดสุดยอดมากขึ้น
          เลือดและฮอร์โมนไหลไปทั่วร่างกาย ทำให้อวัยวะเพศบวมและอ่อนไหวต่อการสัมผัส จึงง่ายต่อการปลุกเร้า ยิ่งกว่านั้น คุณแม่ตั้งครรภ์หลายคนได้รายงานถึงการบรรลุจุดสุดยอดที่รุนแรงและบ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครรภ์แก่ จัดเป็นเหตุผลอีกประการที่คุณจะรู้สึกผ่อนคลายและแฮบปี้กับการตั้งครรภ์ต่อไป

ขอบคุณที่มา : http://women.sanook.com/12369/
ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมากมายได้ที่ >> http://women.sanook.com/mom-baby/pregnancy