วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

How-to : แต่งหน้าใสๆ สไตล์นักศึกษาสาวเฟรชชี่

แต่งหน้าใสๆ สไตล์นักศึกษาสาวเฟรชชี่

  ได้เวลาเปิดเทอมกันแล้วละค่ะ สำหรับนักศึกษาเฟรชชี่ปีหนึ่งอย่างเรา >,<// ว้ายยย! ไม่ใช่แล้ว!! แต่ว่าวันนี้ค่ะ ขวัญจะย้อนเวลากลับไปเป็นนักศึกษาสาวปี 1 กับการแต่งหน้าแบบใสๆ ไปเรียนค่ะ เพราะว่าการที่จะเปลี่ยนตัวเองจากสาวนักเรียนม.ปลาย มาเป็นนักศึกษาสาวมหาลัยนั้นจะต้องแต่งหน้าแต่งตายังไงบ้างนะให้ดูสวยสมวัย สวยใสๆ แบบสาวเฟรชชี่ ขั้นตอนไม่ยาก อุปกรณ์ไม่เยอะ ไปดูกันเลยยย
เครื่องสำอางที่ใช้ในลุคนี้ (List of cosmetics i used) :
 Sun Protection : NIVEA Sun Protect & White Instant White & Smooth SPF50+ PA+++
 BB Cream : Mille Whitening Rose BB Cream SPF30 PA++ #Silky Ivory
☆ CC Cream : Cathy Doll Speed White CC Cream SPF50 PA+++ (#สีเขียว)
 Powder : ReisCare ไรซ์แคร์

 Brow Mascara : Cathy Doll Eyebrow Cara (#Creamy caramel)
 Eyes Shadow : Mistine Duo 
 Eye Liner : Etude Styling (#03)
 Mascara : Maybelline VOLUM' EXPRESS THE HYPERCURL MASCARA Cream Blush : COLLECTION Blush & Highlight Cream Duo (#2 Strawberries & Cream)
 Bronze : Collection Bronze Glow (ligther skin)
 Lipstick : Maybelline Baby Lips Candy Wow #Orange
 Lip gloss : Maybelline Baby Lips Candy Wow #Lychee

                   
ขั้นตอน :
1. 
ลงครีมกันแดดให้ทั่วทั้งใบหน้าเพื่อป้องกันแสงแดดทั้งในตอนกลางวันและแสงจากหลอดไฟค่ะ
2. 
ขวัญจะใช้ BB Cream กับ CC Cream ผสมกันแล้วลงเป็นรองพื้นบางๆ ค่ะ
3. ลงครีมบลัชบริเวณหน้าแก้ม 
4. 
จากนั้นจะตามด้วยแป้งฝุ่น เพื่อเซตตัว BB และ CC ให้ระหว่างวันหน้าไม่มันมากแต่งหน้าใสๆ
5. ส่วนคิ้วนั้น ขวัญสักคิ้วมา เลยใช้แค่การปัดคิ้วเพื่อเป็นการย้อมสีและปัดให้เข้ารูปก็โอเคแล้วค่ะ
6. ในส่วนของตานั้น จะไม่ได้เน้นมากค่ะ ลงแค่อายแชโดว์สีมุกเพื่อให้ตาดูมีประกายๆ แบ๊วๆ แล้วใช้สีน้ำตาลลงที่หางตาเบาๆ
7. 
ขั้นตอนต่อมาทำการเขียนไลน์เนอร์ค่ะแต่ใช้เป็นแบบครีมสีน้ำตาล เพื่อไม่ตาดูดุ แต่จะให้ตาดูหวานแทนค่ะ
แต่งหน้า
8. ดัดขนตา ปัดขนตา
9. ใช้ครีมบลัชในส่วยที่เป็นไฮไลท์เนื้อครีมสีขาวมุกลงบริเวณหัวตา 
10. 
ตามด้วยทาปากเป็นลิปมันเปลี่ยนสีส้มเพื่อให้ดูสดใสขึ้นค่ะ
วิธีแต่งหน้า
           เห็นไหมคะสาวๆ การจะเป็นสาวเฟรชชี่ปีหนึ่งนี้ไม่ใช่เรื่องยากเลยน้าาา เติมนิดเติมหน่อยให้หน้าตาดูสดชื่น เพียงเท่านี้ก็น่ารักใสๆ แล้วละค่าา ^^
อัพเดทเรื่องความสวยความงาม เทรนการแต่งหน้า และความรู้เรื่องผู้หญิง ทั้งหมดได้ที่นี่ http://women.sanook.com/beauty/makeup/

คุมกำเนิดแล้ว...ทำไมยังท้องล่ะ?

คุมกำเนิดแล้ว...ทำไมยังตั้งครรภ์ล่ะ?

คอลัมน์ คุยกับหมอพิณ โดย พ.ญ.พิณนภางค์ ศรีพหล doctorpin111@gmail.com
คุมกำเนิดแล้ว...ทำไมยังท้องล่ะ?
คอลัมน์ คุยกับหมอพิณ พ.ญ.พิณนภางค์ ศรีพหล
email:doctorpin111@gmail.com
สวัสดีค่ะ สัปดาห์ก่อนเราคุยกันเรื่องความเชื่อแบบผิดๆ สำหรับการคุมกำเนิดกันไปแล้วนะคะ สัปดาห์นี้เราจะมาคุยกันในหัวข้อ "ก็คุมกำเนิดไปแล้ว...ทำไมยังท้องอีก"
ใช่ค่ะ เพราะไม่มีคำว่า 100% ทางการแพทย์นะคะ
ยิ่งในโลกของความเป็นจริงแล้ว ที่เราคุมกำเนิดกันแบบเดี๋ยวลืมกินยาบ้าง ใส่ถุงผิดถุงถูกบ้าง นับวันปลอดภัยผิดวัน (เข้าข้างตัวเองกันซะมาก) ขนาดวิธีที่ว่าชัวร์ อย่างทำหมันในคุณผู้หญิง ตัดท่อนำไข่ไปแล้ว วันดีคืนดี หมันหลุด ท่อนำไข่กลับมาเชื่อมกันอัตโนมัติ กลับมาท้องอีก ก็มีมาให้เห็นเรื่อยๆ นะคะ ดังนั้น วันนี้เราจะมาลงรายละเอียดกันถึงการคุมกำเนิดในแต่ละวิธี มีโอกาส "พลาด" กันได้ขนาดไหนนะคะ เรียงกันตามกลุ่มวิธีใช้นะคะ
การตั้งครรภ์
1.แบบใส่ห่วง :
การใส่ห่วงคุมกำเนิด แบบทองแดง มีโอกาสการตั้งครรภ์ได้ 0.8% ค่ะ สามารถใส่ได้นานถึง 10 ปี (บางคนใส่จนลืมไปเลย มานึกได้อีกทีต้องให้หลานเหลนโหลนพามา ร.พ.เพื่อเอาห่วงออกให้
ห่วงคุมกำเนิดแบบมีฮอร์โมน มีโอกาสตั้งครรภ์ได้น้อยกว่าแบบทองแดงอีกค่ะ คือแค่ 0.2% เท่านั้น โดยห่วงจะปล่อยฮอร์โมนออกมาด้วย ใส่นานได้ถึง 5 ปีค่ะ
2.แบบใช้ฮอร์โมน :
การฝังยาคุมกำเนิด สมัยก่อนที่เคยเห็นมีฝังกันหลาย ๆ หลอด ปัจจุบันเรามียาฝังแบบหลอดเดียว คุมกำเนิดได้ 3 ปีนะคะ โอกาสที่จะพลาดตั้งครรภ์น้อยค่ะคือ 0.05% เหมาะสำหรับคุณผู้หญิงที่ยังไม่คิดจะมีบุตรในเร็ว ๆ นี้นะคะ
การฉีดยาคุมกำเนิด ฉีด 1 เข็ม ทุก 3 เดือนค่ะ โอกาสตั้งครรภ์ 6%
การทานยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม, หรือชนิดโปรเจสติน มีโอกาสการตั้งครรภ์ได้ถึง 9% เพราะบ้างคนก็ลืมทานบ้าง บ้างก็เว้นวันไม่ทาน ยาบ้าง
การแปะแผ่นคุมกำเนิด โดยเปลี่ยนแผ่นแปะทุกสัปดาห์ 3 สัปดาห์แล้วไม่แปะ 1 สัปดาห์ให้ประจำเดือนมา มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 9% ยิ่งถ้าสตรีมีน้ำหนักเกิน โอกาสพลาดตั้งครรภ์ยิ่งสูงขึ้นค่ะ
การใส่วงแหวนคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมน ใส่ไปในช่องคลอดไว้ 3 สัปดาห์ แล้วถอดออก 1 สัปดาห์ ให้ประจำเดือนมา มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 9% ค่ะ
3.การคุมกำเนิดแบบใช้อุปกรณ์เสริมเพื่อขวางกั้น :
ถุงยางอนามัยของคุณผู้ชาย มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ถึง 18% (ใจเย็น ๆ ค่ะ อย่าเพิ่งโยนถุงในมือทิ้งไป ถ้าใช้แบบถูกต้อง เปรี๊ยะ ๆ โอกาสตั้งครรภ์แค่ 2-3% เท่านั้น) ที่สามารถพลาดได้มากก็เพราะใส่กันผิด ๆ ถูก ๆ บางคนก็นำถุงเก่ามาใช้ใหม่บ้าง (ถุงยาง Reuse ไม่ได้นะคะ) ใช้สารหล่อลื่นแบบน้ำมันบ้าง ทำให้ความแข็งแรงของถุงยางลดลง ถุงแตก ถุงรั่ว
ถุงยางอนามัยสำหรับสตรี เดี๋ยวนี้ไม่ฮิตค่ะ มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ถึง 28% ค่ะ
4.วิธีคุมกำเนิดแบบธรรมชาติ :
การนับวัน สามารถมีโอกาสตั้งครรภ์ได้สูงถึง 24% ค่ะ
การหลั่งข้างนอก อาศัยทักษะของฝ่ายชายในการถอนองคชาตออกมาก่อนที่จะหลั่งน้ำอสุจิ สามารถตั้งครรภ์ได้สูงถึง 22% ค่ะ
เห็นไหมคะว่าวิธีคุมกำเนิดแบบธรรมชาติ โอกาสตั้งครรภ์สูงมาก ถ้าไม่อยากมากังวลว่าจะท้องไหมคะ ต้องสวดมนต์อ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ ว่าเรายังไม่อยากท้อง ก็ อย่า ใช้ วิธีธรรมชาตินะคะ
มึนกับตัวเลขรึยังคะ ยังไงคุณผู้อ่านก็ลองเลือกวิธีที่ชอบ โอกาสพลาดอยู่ในสถิติที่รับได้ เอาที่สบายใจและเหมาะสมกับตัวเราล่ะกันนะคะ สวัสดีค่ะ
อ่านเพิ่มเติ่มเกี่ยวกับ http://women.sanook.com/mom-baby/pregnancy/

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เผยผิวสวยในยามนิทรา

สุดยอด!เคล็ดลับเผยผิวสวยยามนิทรา...

ผิวพรรณที่เราเฝ้าฟูมฟัก ทะนุถนอมให้สวยนวลเนียนอยู่ตลอดด้วยทรีตเมนต์ชั้นดี ครีมบำรุงผิวชั้นเลิศนั้นจะไร้ผลในทันทีถ้าขาดการนอน และไม่ใช่เพียงหลับให้พอหายเหนื่อยเท่านั้น การนอนให้มีคุณภาพสำคัญต่อความสวยอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่แน่ปัญหาผิวที่เรื้อรังของคุณอาจมาจากสาเหตุเล็กๆ อย่างพฤติกรรมการนอนที่ผิดๆ ก็ได้คุณรู้ไหมการนอนหลับให้เพียงพอจะทำให้ผิวพรรณเราดูสวยและถ้าทาครีมหน้าขาวหรือครีมบำรุงเป็นประจำก็จะยิ่งทำให้เราดูสวยและอ่อนกว่าวัย
“ Talk to The Doctor “
การนอนสัมพันธ์กับผิวพรรณ
“เราเคยได้ยินกันอยู่เรื่อยๆ นะครับ ช่วงที่เรานอนน้อย ผิวก็จะไม่สดชื่น แต่งหน้าไม่ติด หรือมีใต้ตาคล้ำๆ ได้ จริงๆ มันมีวิทยาศาสตร์การแพทย์ซ่อนอยู่ในนั้น” นพ. สมิทธิ์ อารยะสกุล กล่าว เพราะขณะที่นอนหลับร่างกายไม่ได้มีการปิดเหมือนเครื่องยนต์ แต่ร่างกายยังทำงานอยู่ และก็ทำงานหลายอย่างเลยที่เกี่ยวข้องกับผิวพรรณ อิทธิพลของฮอร์โมนที่เกิดขึ้นในการนอน ที่เป็นตัวแปรให้สภาพผิวเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางต่างๆ
Growth Hormone
ในผู้ใหญ่โกรว์ธฮอร์โมนมีบทบาทเรื่องความอ่อนเยาว์ซึ่งโกรว์ธฮอร์โมนจะหลั่งช่วงประมาณสี่ทุ่มจนถึงตีสองและเป็นช่วงเวลาที่เราหลับสนิทเท่านั้น ถ้าไม่ได้นอนในช่วงนี้ หรือว่าร้ายกว่านั้นคือนอนหลังตีสอง ทำให้ช่วงเวลาการหลั่งโกรว์ธฮอร์โมนน้อยลง ซ่อมแซมผิวไม่ทัน จึงเกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย
Cortisol Hormone
เกิดขณะมีความเครียด หรือเมื่ออดนอน คอร์ติซอล จะหลั่งออกมา เพื่อให้เราฝืนตัวเองให้ยังตื่นอยู่ได้มีฤทธิ์ทำให้เกิดรอยคล้ำตามร่างกายในที่ต่างๆ ได้ทั้งใต้ตา รักแร้ ขาหนีบ ผิวพรรณหม่นหมอง
Melatonin Hormone
เป็นฮอร์โมนที่หลั่งเพื่อให้เราหลับสนิทตามธรรมชาติเมลาโทนินกับคอร์ติซอลจะไม่ถูกกัน ถ้าคอร์ติซอลมาเมลาโทนินก็จะไม่มา เมื่อไรที่เราหลับสนิทเมลาโทนินจะมาหยุดคอร์ติซอล ทำให้เราหลับลึก ตื่นมาเฟรชและยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการหลั่งโกรว์ธฮอร์โมน และตัวเมลาโทนินเองก็เป็นแอนตี้ออกซิแดนต์ใช้ขับสารพิษออกจากร่างกาย
นอนให้มีคุณภาพได้อย่างไร
นพ. สมิทธิ์แชร์ข้อมูลงานวิจัยเรื่องการนอนที่มีคุณภาพว่า “มีการวิจัยที่พยายามหาจำนวนชั่วโมงที่เหมาะสม ก็พบว่าเวลานอนของแต่ละบุคคลไม่เท่ากันแต่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6-8 ชั่วโมง ไม่มากและไม่น้อยไปกว่านี้ โดยวิธีสังเกตเวลานอนที่เพียงพอต่อตัวเรา คือเมื่อตื่นขึ้นมาสดชื่นมั้ย อันที่หนึ่ง อันที่สองคือช่วงบ่ายง่วงนอนหรือเปล่า อันที่สาม คือถ้าอยู่ในที่นิ่งๆ เย็นๆ เช่น ฟังเลกเชอร์ ดูหนัง เราหลับหรือเปล่า ถ้าใครที่เป็นอย่างนั้นตลอดแสดงว่าการนอนของคุณไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ซึ่งมีวิธีแก้ไขดังนี้…”
ไม่นอนร่วมกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
การเล่นโทรศัพท์ การดูโทรทัศน์ เล่นคอมพ์ การที่เรากระตุ้นตัวเองด้วยแสงและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้เราตื่นไปอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่งโดยเฉลี่ย ฉะนั้น ให้ปิดอุปกรณ์เหล่านี้ก่อนนอนหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
ไม่ผูกมิตรกับกาเฟอีน
เครื่องดื่มกาเฟอีนอย่างกาแฟ โคล่า ฤทธิ์มันยาวถึง 8 ชั่วโมง ถ้าอยากให้การนอนเป็นปกติ หยุดกาแฟหรือชาแก้วสุดท้ายที่บ่าย 2 แถมพวกนี้ยังมีฤทธิ์การขับปัสสาวะด้วย ทำให้ตื่นขึ้นมาปัสสาวะกลางดึกนอนได้ไม่ต่อเนื่อง และอีกตัวคือสุรา แต่จะมีฤทธิ์สั้นกว่ากาเฟอีน อยู่ได้เฉลี่ยประมาณ 1-2 ชั่วโมง
นอนมากก็ใช่ว่าจะเวิร์ก
มีงานวิจัยจากต่างประเทศบอกว่าการนอนมากเกินไปแฝงสัญญาณบางอย่าง อาจไม่เกี่ยวกับเรื่องผิวโดยตรง นั่นคือปัญหาเรื่องซึมเศร้า ร่างกายจะเสียสมดุล พอสุขภาพจิตไม่ดี ความกระตือรือร้นในการดูแลตัวเองก็จะลดลงไป
SOS Situation
เหล่าเวิร์กกิ้งวูแมนทั้งหลาย แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าการนอนไม่เพียงพอนั้นทำร้ายผิวแค่ไหน แต่ไลฟ์สไตล์กลับไม่เอื้ออำนวย ทั้งตารางงานที่แน่น ไหนจะเดินสายปาร์ตี้แล้วยังต้องแบ่งเวลาให้ครอบครัว ฉะนั้น ต้องใส่ใจผิวอีกเป็นเท่าทวีคูณ
Problem 1 : นอนน้อย
ถ้าเอา 6 ชั่วโมงเป็นตัวตั้งแล้ว การนอนน้อยกว่านั้นอาจส่งผลให้รู้สึกไม่ค่อยสบายผิว แต่ก็ยังไม่หนักหนาเท่าไหร่ อาจมีอาการใต้ตาแห้ง หรือรอยเหี่ยวที่ถุงใต้ตาบ้าง วิธีแก้ไขก็คือให้ใช้สำลีชุบโลชั่นโปะไว้ที่ตาก่อนสัก 5 นาที หรือหากมีปัญหาตรงจุดอื่นอย่างรูขุมขนข้างแก้มก็ใช้วิธีเดียวกันนี้ได้
Problem 2 : นอนไม่พอ
การนอนน้อยติดต่อกันหลายๆ วัน จะรู้สึกได้ถึงรูขุมขนที่กว้าง ผิวที่แห้งผาก จนทาครีมบำรุงอะไรก็เอาไม่อยู่เกิดหน้าลอกเป็นขุยๆ ระหว่างวัน หนำซ้ำยังแต่งหน้าไม่ค่อยติด ต้องหาเวลาพักฟื้นให้ด่วนที่สุด คือพยายามดึงเวลานอนกลับมาให้พอ ลดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนทั้งปวง ส่วนการบำรุงผิวอย่างก็ที่บอก ไม่ว่าจะประโคมอะไรก็หายหมด ลองหามาส์กหน้าชนิดเข้มข้นมาใช้ทุกวัน ก่อนนอนจนกว่าผิวจะดีขึ้น หรือหากมีเวลาก็มีทรีตเมนต์จำพวกฟื้นฟูผิว ผลักวิตามินต่างๆ แต่เว้นเลเซอร์ไว้ก่อนเพราะร่างกายยังไม่แข็งแรงพอที่จะซ่อมแซมตัวเอง
Problem 3 : ไม่ได้นอน
แม้จะแค่คืนเดียวที่อยู่ถึงเช้าแต่พลานุภาพการทำร้ายผิวนั้นรุนแรง ต้องใช้เวลาฟื้นฟูผิวกันอยู่หลายวัน ไล่ตั้งแต่ผิวแห้ง รูขุมขนกว้างหย่อนคล้อย และหมองคล้ำ มีแต่พังกับพัง ทางที่เซฟที่สุดคือล้างหน้าให้สะอาดไว้ก่อน อย่าข้ามคืนไปกับเมกอัพ เมื่อล้างหน้าสะอาดแล้ว ลงบำรุงผิวแล้วตบด้วยออยล์เป็นขั้นตอนสุดท้ายเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว และหากผิวดูล้ามากๆ ก็พอกมาส์กครีมไว้เลย เมื่อเช้ามาแล้วต้องออกไปข้างนอก ให้ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงเสียหน่อย เพราะผิวที่อ่อนแอจะไวต่อแดดมาก
อัพเดทเรื่องความสวยความงาม เทรนการแต่งหน้า และความรู้เรื่องผู้หญิง ทั้งหมดได้ที่นี่ http://women.sanook.com/tag/ครีมหน้าขาว

Review : ครีมบำรุงผิวคุณภาพดี ราคาสบายกระเป๋า

Review : ครีมบำรุงผิวคุณภาพดี ราคาสบายกระเป๋า

   สวัสดีค่ะสาวๆ กลับมาพบกับขวัญกับการรีวิวผลิตภัณฑ์ที่ดี ที่เริ่ด ใช้แล้วชอบในเดือนนี้กันค่ะ ในครั้งนี้ขวัญจะมารีวิวครีมบำรุงผิวหน้าและผิวกาย ที่ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื่น ซึมง่าย กลิ่นหอม ราคาสบายกระเป๋า จะมีอะไรบ้างนั้น มาดูกันค่ะ
         
         
          ในขั้นตอนการดูแลผิวของขวัญนั้น โดยส่วนตัวขวัญจะแบ่งครีมเป็นสองเซตค่ะ  เซตแรกจะเป็นกลุ่มที่ทาก่อนออกไปข้างนอกบ้าน กับอีกหนึ่งเซตเป็นกลุ่มทาบำรุงก่อนนอน
ครีมบำรุงผิว
          เริ่มที่เซตการดูแลผิวก่อนออกไปข้างนอกบ้านค่ะ หลังจากอาบน้ำเสร็จเช็ดตัวเรียบร้อย ขวัญจะลงเป็นเซรั่มกันแดดของ Nivea Instant White Firming Body Serum SPF50 แล้วตามด้วย body lotion ของVaseline Healthy White UV Lightening และหลังจากครีมทั้ง 2 ตัวซึมเข้าสู่ผิวเรียบร้อยแล้ว ก็จะตามด้วยครีมกันแดดของ Nivea SUN Protect&White SPF 50 PA++ ตัวนี้ค่ะ
- Nivea Instant White Firming Body Serum SPF50
          
Nivea .... ตัวนี้ลักษณะเนื้อครีมจะเป็นสีขาว เกลี่ยง่าย กลิ่นหอมไม่มาก สบายๆ ซึ่งเจ้าตัวนี้จะช่วยปกป้องแสงแดด และมลภาวะที่ต้องเจอในแต่ละวันค่ะ โดยส่วนตัวขวัญใช้แล้วรู้สึกว่าเจ้าตัวนี้มันช่วยให้ผิวชุ่มชื่นขึ้น แล้วแถมยังมีตัวช่วยป้องกันแดดอีก 
Review : ครีมบำรุงผิวคุณภาพดี ราคาสบายกระเป๋า
ราคา 275 บาท
       คะแนน   4/5 (หักตรงเวลาบีบออกมาใช้ รูมันเล็กเกินไปอ่า =.=) 
           ความเหนียว : ซึมเข้าสู่ผิวง่าย ไม่เหนียว
           กลิ่น : ออกแนวสดชื่น ไม่ได้หอมจนเกินไป
         
- Vaseline Healthy White UV Lightening 
        สำหรับ Body lotion ตัวนี้ ขวัญว่าสาวๆ หลายๆ คนคงต้องรู้จักและเลือกซื้อมาใช้กันอยู่แล้วแน่ๆ ค่ะ หลังจากที่ขวัญใช้แล้วรู้สึกว่าเจ้าครีมตัวนี้ จะช่วยให้ผิวนุ่มแล้วดูลื่นขึ้น ซึมเข้าสู่ผิวไว ไม่เหนียวเลย กลิ่นหอมละมุนๆ ทาแล้ว
ครีมบำรุงผิว
ราคา แล้วแต่ขนาด 100 - 300 บาทโดยประมาณ 
       คะแนน 4/5 (หักตรงที่ผลิตภัณฑ์เป็นลักษณะขวด เวลาที่ใกล้จะหมด ขวัญว่ามันกดออกมาใช้ลำบากไปหน่อย) 
           ความเหนียว : ลื่น เกลี่ยง่าย ซึมไว ไม่ทิ้งคราบ
           กลิ่น : หอมแต่ไม่ฉุนน้ำหอม
         
- Nivea SUN Protect&White SPF 50 PA++
        และที่สำคัญที่สุดก่อนออกไปเจอแสงแดดเมืองไทยที่ค่อนข้างจะร้อนแรง ขวัญจะทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันเป็นประจำในทุกๆ วันค่ะ แต่! สาวๆ บางคนอาจจะคิดว่าเราไม่ได้โดนแดดนะ ไปนั่งทำงาน นั่งเรียนเฉยๆ ที่จริงแล้ว แสงจากหลอดไฟก็ทำให้ผิวเราคล้ำได้นะ ดังนั้นแล้วละเลยไม่ได้เลยค่ะสาวๆ 
        ซึ่งที่ขวัญชอบครีมกันแดดตัวนี้ เพราะว่า อย่างแรกเลยอย่างที่เรารู้ๆ กันว่า ครีมกันแดดส่วนใหญ่จะค่อนข้างเหนียวอยู่แล้ว แต่ตัวนี้ก็โอเคยอมรับว่าเหนียวนะแต่เกลี่ยง่าย และยังช่วยปรับสีผิวให้ขาวขึ้นเลยแต่ไม่มาก (เหมือนทาบีบีที่ตัวแต่ไม่ถึงขั้นนั้น) 
Review : ครีมบำรุงผิวคุณภาพดี ราคาสบายกระเป๋า
ราคา แล้วแต่ขนาด 200  บาทขึ้นไปโดยประมาณ
       คะแนน 3/5 (หักตรงที่ซึมช้าไปนิดนึง แล้วก็เป็นขุยเวลาเหงื่อออก) 
           ความเหนียว : เกลี่ยง่าย แต่ซึมช้า เหนียวในระดับครีมกันแดด
           กลิ่น : โดยส่วนตัวแล้วชอบกลิ่นครีมกันแดดนะ ดูหวานๆ ดีค่ะ
         
Review : ครีมบำรุงผิวคุณภาพดี ราคาสบายกระเป๋า
            ต่อด้วยเซตการดูแลผิวก่อนนอนค่ะ ซึ่ง ในช่วงเวลานอนนั้นขวัญจะเน้นการบำรุงแบบเยอะพอสมควร เพราะต้องการเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวอย่างเต็มที โดยขวัญจะเลือกใช้ของ Mistine ค่ะ ไม่ว่าจะสูตรอะไรก็แล้วแต่ ขวัญสามารถใช้ได้หมดค่ะ 
            แต่ที่ชอบที่สุดคือตัว Mistine White Spa Gold Caviar เพราะเขาเครมว่ามีส่วนผสมของแคปซูลคาเวียร์สีทอง ที่จะทำให้ผิวเนียนขึ้น แต่ความจริงแล้วขวัญชอบที่ทาง่าย ลื่นๆ ดีค่ะ เพราะอย่างที่บอกไปว่าขวัญจะเน้นแค่เพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวในช่วงเวลา ที่ร่างกายได้รับการพักผ่อนนั้นเองค่ะ
 Review : ครีมบำรุงผิวคุณภาพดี ราคาสบายกระเป๋า
         
           สิ่ง ที่สำคัญที่สุดนั้นคือขั้นตอนการบำรุงก่อนออกไปเจอกับสภาพอากาศ แสงแดดและมลภาวะด้านนอกค่ะ เพราะฉะนั้นแล้ว การทาครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งที่สาวๆ อย่างเราห้ามละเลยนะคะ
 *ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ที่ลองใช้แล้วรู้สึกชอบ ใช้แล้วรู้สึกจริงๆ นะคะ
อัพเดทเรื่องความสวยความงาม เทรนการแต่งหน้า และความรู้เรื่องผู้หญิง ทั้งหมดได้ที่นี่ http://women.sanook.com/tag/ครีมบำรุงผิวหน้า

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ร้อนนี้เลือกผลิตภัณฑ์กันแดด อย่างไรดี

หน้าร้อน! นี้เลือกผลิตภัณฑ์กันแดด อย่างไรดี?

คงต้องยอมรับแต่โดยดีว่าภาวะโลกร้อนดูจะเป็นสิ่งที่มนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้ง่ายๆคือเราสามารถรู้สึกได้เลยว่าแสงแดดทุกวันนี้ ดูจะร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ชนิดที่บางคนรู้สึกแสบร้อนที่ผิวได้ทั้งที่ถูกแสงแดดเพียงไม่นาน และอย่างที่ทราบกันดีว่าอันตรายของแสงแดดมีมากมายหลายประการ และดูจะเป็นตัวการสำคัญของปัญหาผิวต่างๆ อาทิ ความหมองคล้ำ จุดด่างดำ ฝ้า กระ รวมไปถึงมะเร็งผิวหนังอีกด้วย คงจะดีกว่าถ้าเราสามารถปกป้องผิวจากอันตราย ของแสงแดดได้ อย่างไรก็ดีควรเริ่มต้น จากการรู้ซึ้งถึงอันตรายของแสงแดดและรังสียูวี
ครีมกันแดด
UV คืออะไร
พลตรีนายแพทย์ กฤษฎา ดวงอุไร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง แผนกโรคผิวหนัง กองอายุรกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าได้พูดถึงอันตรายของรังสียูวีไว้ว่า ผิวของเรานั้น สามารถถูกทำร้ายจากสิ่งเร้าภายนอกได้อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแสงแดดที่มีรังสีอุลตร้าไวโอเลต หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า รังสียูวี ซึ่งประกอบไปด้วยรังสี UVA, UVB และ UVC ซึ่งต่างกันที่ช่วงความยาวคลื่นแสงอุลตร้าไวโอเลต (UVL=Ultraviolet light) ซึ่งแบ่งเป็น Ultraviolet A (UVAWavelength 320-400nm) Ultraviolet B (UVB Wavelength280-320nm) และ Ultraviolet C (UVC Wavelength 190-280nm) ซึ่งเฉพาะ UVA และ UVB (>290nm) เท่านั้นที่ส่องมาถึงพื้นโลก ส่วน UVC ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมากต่อนิวเคลียสของเซลล์ของผิว จะถูกกรองโดยโอโซนในบรรยากาศชั้น Stratosphere ทำให้ไม่สามารถผ่านมาถึงพื้นโลกได้ (อย่างไรก็ดีด้วยภาวะโลกร้อน ทำให้บางช่วงของโอโซนเป็นช่องโหว่ ทำให้รังสียูวีซีสามารถทะลุลงมาถึงโลกได้บ้างแล้ว)รังสี UVB มีความยาวคลื่นสั้น (280-320nm ) มีผลต่อเซลล์ผิวหนังกำพร้าที่อยู่ชั้นนอกสุด ทำให้เกิดแดดเผา (Sunburn) มีผิวสีคล้ำและถ้าถูกแสงแดดเป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ สำหรับรังสีUVA นั้น จัดได้ว่าเป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นความยาวมาก (320-400nm)สามารถทำอันตรายต่อผิวได้มากที่สุด ที่สำคัญสามารถทำลายทะลุทะลวง
ถึงผิวหนังชั้นใน ทำลายเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสตินไฟเบอร์ ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นเป็นริ้วรอยตีนกาได้ง่าย นอกจากนี้ยังทำให้เกิดผิวสีที่ผิดปกติเป็นรอยด่างดำไม่สม่ำเสมอ ซึ่งการทำลายผิวหนังที่เกิดจากทั้งUVA และ UVB สามารถมองเห็นได้ในบริเวณที่ถูกแดดเป็นประจำโดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่ใช้ชีวิตกลางแจ้งมาก
การทำร้ายเซลล์ผิวของรังสี UV จากแสงแดดต่อผิวหนังนั้นเป็นผลสะสมในระยะยาว จึงอยากแนะนำว่าพวกเราทุกคน ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือแม้กระทั่งเด็ก ก็ควรปกป้องผิวหนังจากแสงแดดเช่นเดียวกัน
ค่าการปกป้องแสงแดดจากรังสี UV
เมื่อได้ทราบถึงความร้ายกาจของรังสี UVA ที่มีมากกว่ารังสีUVB แล้วนั้น หลายๆ คน คงสงสัยว่าแล้วเราจะปกป้องผิวจากรังสี UVAได้อย่างไร พลตรี นายแพทย์ กฤษฎา ดวงอุไร ได้ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ว่า ก่อนอื่นเราคงต้องเข้าใจถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์กันแดดในการป้องกันรังสี UV ก่อน ซึ่งโดยทั่วๆ ไปเราคงคุ้นเคยกับ "ค่า SPF" ซึ่งย่อมาจาก Sun Protection Factor หรือแปลเป็นไทยว่า ค่าการป้องกันแสงแดดจากรังสี UVB ซึ่งเข้าใจได้ง่ายๆ คือ ถ้าเคยถูกแสงแดดแล้วผิวไหม้แดง ในเวลา 15 นาที หากทาผลิตภัณฑ์กันแดดที่มี SPF = 6 ก็จะปกป้องผิวได้ 6 เท่า หรือผิวจะไหม้แดงในเวลา 90 นาที (6x15=90นาที) ถ้าค่า SPF = 8 ผิวจะไหม้ในเวลา 2 ชั่วโมง (8x15=120 นาที)แต่สำหรับการปกป้องผิวจากรังสี UVA นั้น ให้ดูที่ "ค่า PPD"คือ Persistent Pigment Darkening ซึ่งเป็นค่าที่ใช้วัดค่ากันแดดที่ป้องกันรังสี UVA ที่เป็นตัวการในการทำให้ผิวดูแก่ และสีคล้ำขึ้นนั่นเองพูดกันง่ายๆ คือ ถ้าทากันแดดที่มีค่า PPD10 ก็คือ คุณสามารถทนแดดได้มากกว่าผิวที่ไม่ทา 10 เท่า แต่ในบางประเทศอย่างญี่ปุ่น ก็ไม่ได้ใช้ค่าPPD แต่ว่าใช้ "ค่า PA" คือ Protection Class UVA เป็นระดับการวัดค่าป้องกัน UVA ค่าสูงสูดในมาตรฐาน PA คือ PA+++ ซึ่งเมื่อเทียบกับมาตรฐาน PPD ค่า PA+++ คือ >8 ขึ้นไป ฉะนั้นหากต้องการปกป้องผิวจากรังสี UVA ก็ควรหาผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า PPD สูงๆ มาใช้ ไม่ควรพิจารณาที่ค่า SPF เพียงอย่างเดียว เพราะค่า SPF เอาไว้วัดค่าการปกป้องรังสี UVB ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิวในระยะยาว น้อยกว่า UVA ซึ่งอาจสังเกตได้ง่ายๆ คือ ถ้าเห็นตัวอักษร UVA นั่นแสดงว่าผลิตภัณฑ์กันแดดตัวนั้นสามารถป้องกันผิวจาก UVA ได้ดีระดับหนึ่งทีเดียว
ผลิตภัณฑ์กันแดดที่ป้องกันรังสี UV ได้ดีและครอบคลุม ควรจะมีส่วนผสมของทั้ง Chemical (Organic) และ Physical (Inorganic/Mineral) Sunscreen เช่น Zinc Oxide, Titanium Dioxide (TiO2),Avobenzone (Parsol 1789), Mexoryl SX, Mexoryl XL,Oxybenzone เป็นต้น ซึ่งผลิตภัณฑ์กันแดดในท้องตลาดที่มีประสิทธิภาพกันUVA ได้ดี ก็จะมีสารที่กล่าวแล้วข้างต้นผสมกันอย่างน้อย 2 ชนิดขึ้นไปในสัดส่วนความเข้มข้นต่างๆ ซึ่งให้ประสิทธิภาพการปกป้องรังสี UVAที่แตกต่างกันไป ดังนั้นจึงควรเลือกให้ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่าการปกป้องทั้งรังสี UVB และ UVA สูงๆ และเหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง
เลือกผลิตภัณฑ์กันแดดอย่างไรดี
เราควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ ไว้เนื่องจากการให้ได้ผลตามที่เขียนไว้ข้างขวดนั้น ผู้ใช้จะต้องทาหนามากขนาด 2 มิลลิกรัมต่อพื้นที่ 1 ตารางเซนติเมตร ซึ่งคนทั่วไปไม่ได้ทาหนาขนาดนั้น เพราะไม่เหมาะกับวิถีชีวิตประจำวัน ทางสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ได้ให้คำแนะนำว่า ควรใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดประมาณ 1 ข้อนิ้วชี้สำหรับทาหน้าและคอ ซึ่งควรทาอย่างน้อย 2 รอบ จึงจะสามารถป้องกันแดดได้ หากเล่นกีฬาหรือเหงื่ออออกมาก ควรทาซ้ำทุก 2 ชม. เพราะผลิตภัณฑ์กันแดดส่วนใหญ่ไม่ได้มีคุณสมบัติในการทนต่อน้ำเมื่อเราเหงื่อออก ก็หายไปหมดแล้ว ที่สำคัญเราไม่ควรใช้ชีวิตท่ามกลางแสงแดดจัด และเราควรป้องกันผิวจากแสงแดดตั้งแต่วัยเด็ก โดยการหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องตากแดดจัด ป้องกันร่างกายอย่างมิดชิดด้วยเสื้อผ้า แว่นกันแดด หมวก และร่ม เลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่เหมาะสมกับกิจกรรมแต่ละประเภท แต่ที่สำคัญคือต้องลงมือปกป้องผิวตั้งแต่วันนี้เพราะผิวเรามีโอกาสที่จะโดนแสงแดดทำร้ายอยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่มีแสงแดดอันมีรังสี UVAอยู่ตลอดเวลา และทุกฤดูกาล ไม่ว่าจะอยู่กลางแดดหรือในร่มก็ตาม การเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่าปกป้องรังสื UVA โดยสังเกตจากค่า PPDนั้น สามารถช่วยให้มั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพในการปกป้องรังสี UVAจากค่าปกป้องรังสีดังกล่าว ทั้งนี้ขึ้นกับกิจกรรมที่ต้องสัมผัสกับแสงแดดซึ่งการเลือกค่า PPD ที่สูงและเหมาะสมนั้นจะช่วยให้สามารถปกป้องรังสีUVA ได้ สำหรับผู้บริโภคอาจสังเกตได้ง่ายๆ คือ ถ้าเห็นตัวอักษร UVAนั่นแสดงว่าผลิตภัณฑ์กันแดดตัวนั้นสามารถป้องกันผิวจาก UVA ได้ทำให้ง่ายต่อการพิจารณาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กันแดด ที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องรังสี UVB และ UVA ได้


เทคนิคปกป้องผิวจากแสงแดด
- เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่สามารถปกป้องผิวได้ทั้งรังสี UVA และ UVB
- ผิวแพ้ง่ายหรือไวต่อแดด เช่น ผิวหลังการทำเลเซอร์ทรีตเมนท์ การขัดลอกหน้า ควรเลือกผลิตภัณฑ์กันแดด สำหรับผิวบอบบางหรือแพ้ง่ายโดยเฉพาะ
- ทาผลิตภัณฑ์กันแดดในปริมาณที่พอดี คือ ประมาณ 1 ข้อนิ้ว สำหรับผิวหน้า และประมาณ 30 กรัม สำหรับผิวกาย ก่อนออกแดดประมาณ 15-20 นาที
- การพักผ่อนตามชายทะเล ควรทาผลิตภัณฑ์กันแดดเพิ่มทุก 3 ชั่วโมง เนื่องจากหาดทรายสามารถสะท้อนแสงแดดและรังสี ยูวีได้ดี จึงเป็นอันตรายมากยิ่งขึ้น
- การทาผลิตภัณฑ์กันแดด ควรทาบางๆ และเกลี่ยให้ทั่วๆ ไม่ควร ทาย้อนขึ้นลง เพราะจะทำให้ครีมหลุดลอกได้ง่าย และควรทาซ้ำ หลังจากเที่ยง หรือหลังจากที่มีเหงื่อออกมากๆ
- เลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีส่วนผสมที่เป็น เคมีคอล และฟิสิกส์คอล เพื่อการปกป้องผิวจากอันตรายของรังสียูวี ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
- หลังจากออกแดดแล้ว ควรล้างผิวให้สะอาด แล้วทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ หรือครีมบำรุงทันที
อัพเดทเรื่องความสวยความงาม เทรนการแต่งหน้า และความรู้เรื่องผู้หญิง ทั้งหมดได้ที่นี่ http://women.sanook.com/tag/ครีมกันแดด

❤ มาแต่งหน้าให้ผิวสวยไร้ที่ติ โทนสีนู๊ดชมพูกัน ❤

❤ มาแต่งหน้าให้ผิวสวยไร้ที่ติ โทนสีนู๊ดชมพูกัน ❤

 สวัสดีค่าาา สาวๆทุกคน
วันนี้อีฟจะมาแต่งหน้าใสๆลุคผิวสวยไร้ที่ติ
และเป็น makeup สีนู๊ดออกโทนชมพูนะคะ
ลุคนี้อีฟได้รับแรงบันดาลใจมาจากสาว Jennifer Lawrence ในงาน Mockingjay part 2 ค่าาา
แต่งหน้าใสๆ
ลุคนี้ผิวนางดู ใสๆ ไร้ที่ติ เมคอัพ ออกชมพูนู๊ดๆ ทาตาโทนสีน้ำตาลทอง คลาสสิค
❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤
ส่วนอีฟก็ทำแบบตามมีตามเกิด 555 แต่ก็พยายามแต่งแนวๆเค้าเนอะ
มาดูกันเลยยยค่า
Before – After
แต่งหน้าใสๆ
แบบคลิป ดุ๊กดิ๊กๆ ค่ะ
ส่วนใครชอบดูแบบภาพก็มาทางนี้เลยย
วิธีแต่งหน้า
เครื่องสำอางที่ใช้ค่ะ
รองพื้น Beauskin – Cushion BB Sunblock SPF50+/PA+++
แป้งฝุ่น Beauskin – Perfect face powder
แป้งผสมรองพื้น Beauskin – Collagen two-way cake
เขียนคิ้ว Too faced – Bulletproof brow #taupe
มาสคาร่าปัดคิ้ว  Innisfree – Ultrafine eyebrowcara #03
สติ๊กเกอร์ตา 2 ชั้น Bohktoh – eyelid tape #M
Eye primer - Too faced – Shadow Insurance
Eye shadow - Urban Decay Naked 2
Eyeliner pencil - Essence
Eyeliner Liquid - Beauskin – Collagen Soft&Clear Eyeliner
Mascara - L’oreal 4D
Blush on - Estee Lauder
Contour - The balm Bahama mama
Highlight - Hourglass Ambeint Lighting Powder #Diffused light
Lipstick - Beauskin – Crystal lipstick #19 Nudie pink
Lipstick - Wet n wild #pinkerbell
 ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤
มาเริ่มแต่งกันเล้ยย
วิธีแต่งหน้า
มาดูวิธีแต่งหน้ากันเลยขั้นแรก ทา Beauskin – Cushion BB Sunblock ให้ทั่วใบหน้าเลยจ้า
 Cushion ตัวนี้ปกปิดดีมากๆ เนื้อดีเลยทีเดียว
ดังนั้นอีฟจะไม่ลง Concealer ค่ะ จะลงแป้งฝุ่นต่อเลย
❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤
ลง Beauskin – Perfect face powder เป็นแป้งฝุ่นค่ะ
ลงให้ทั่วใบหน้าได้เลย แป้งตัวนี้เนื้อเนียน เซ็ทรองพื้นได้ดีเลยค่ะ
 ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤
จากนั้นอีฟก็จะทาแป้งผสมรองพื้น ปิดตรงจุดที่เป็นสิวนะคะ ก็จะมีที่คาง และหน้าผาก นิดๆหน่อยๆค่ะ
แต่งหน้า
จากนั้นเราจะมา เฉดดิ้ง ให้หน้าดูมีมิติ ก็ทาตามแนวพวกสันจมูก และกรอบหน้า
ให้หน้าพุ่งสู้แฟลชนิดนึง แต่ไม่ต้องหนักมากนะ เดี๋ยวจะเกินงาม
❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ 
ต่อมาเราจะทา eyeshadow นะคะ
จะออกแนวสีน้ำตาลทอง
1. ติดเทปตา 2 ชั้น และ ทา eye primer
2. ใช้สี snakebite ทาชิดโคนขนตา
3. ใช้สี suspect ไล้หางตาให้เฉี่ยวขึ้น
4. ใช้สี Half baked ทาทั่วเปลือกตา และเบลนให้เนียน จากนั้น ทาสี Bootycall สีสว่างที่หัวตา
5. เขียนขอบตาด้วยดินสอสีดำ
6. ใช้สี blackout ทาทับดินสอให้ชิดโคนขนตา
7. กรีด eyeliner ด้วย  Beauskin – Collagen Soft&Clear Eyeliner
8. ปัดมาสคาร่าทั้งขนตาบนและล่าง
9. ติดขนตาปลอมเบอร์ธรรมชาติ
 ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤
ปัดแก้มค่ะ ใช้สี nude rose ตรงกลางนะคะ ปัดข้างแก้ม
และใช้สีชมพูอ่อน สี pink kiss ปัดพาดจมูกมาเบาๆนวลๆ
 ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤
แต่งหน้า
ปัด highlight บริเวณจุดกระทบแสงนิดๆ
❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ 
จากนั้นเราจะมาทาลิปสติกกันค่ะ
แต่ที่อีฟเลือกทาเป็นเบอร์ 19 ค่ะ
เป็นสีชมพูนู๊ดๆที่สวยดีค่ะ เนื้อลิปดีมากก ชุ่มฉ่ำสีสวย ทาแล้วปากดูสุขภาพดี
ขอเพิ่มติ่งสีชมพูให้ชัดเจนขึ้นอีกนิ๊ดดด จะใช้สี pinkerbell ของ wet n wild แตะๆลงไปกลางปาก
 ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤
เป็นอันเสร็จพิธีเจ้าค่ะ!!
แต่งหน้า
ลาไปด้วยภาพนี้ 555
หวังว่าสาวๆจะชอบลุคนี้กันนะคะ
แล้วพบกันใหม่ How to หน้าน๊า
ใครอยากให้อีฟแต่งลุคไหนลองเสนอมาได้เลยค่า


อัพเดทเรื่องความสวยความงาม เทรนการแต่งหน้า และความรู้เรื่องผู้หญิง ทั้งหมดได้ที่นี่ http://women.sanook.com/beauty/makeup/